อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Bookmark and Share
Bookmark and Share

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Public Law Net : เครือข่ายกฎหมายมหาชนไทย


ประเพณียึดทรัพย์ครั้งใหญ่น่าจะเป็นสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่รัฐบาลจอมพล ป. ได้ออก พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหา กษัตริย์ พุทธศักราช 2479 ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์ กับ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แถมกระทรวงการคลังยังฟ้องร้องเงินจากพระนางเจ้ารำไพพรรณี 6 ล้านบาท และรัฐบาลชนะเสียด้วย
http://www.pub-law.net/



--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://www.cedthai.com/
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

พลิกแฟ้มกระบวนการไล่ล่าเงิน"รักเกียรติ" 233 ล้านเปรียบเทียบยึดทรัพย์"ทักษิณ 46,000 ล้านบาท



 




วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 21:30:52 น.  มติชนออนไลน์

พลิกแฟ้มกระบวนการไล่ล่าเงิน"รักเกียรติ" 233 ล้านเปรียบเทียบยึดทรัพย์"ทักษิณ 46,000 ล้านบาท

หมายเหตุ"มติชนออนไลน์" -ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดง( ที่ อม. ๑/๒๕๔๖ )เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๖ พิพากษาให้ทรัพย์สินของนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๒๓๓,๘๘๐,๐๐๐ บาท (แต่ไม่ปรากฏเงินในบัญชีเหลืออยู่เลย) ตกเป็นของแผ่นดิน

 

มาดูกันว่า หลังจากศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว รัฐบาลมีขั้นตอนการบังคับคดีหรือยึดทรัพย์อย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ศาลฎีกาฯพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์  2553สั่งให้ยึดทรัพย์ ๔๖,๓๗๓,๖๘๗,๔๕๔.๗๐ บาท ตกเป็นของแผ่นดิน
----------------------------------

 

1.สำนักงานอัยการสูงสุดที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลออกคำบังคับเพื่อส่งให้กับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติตามคำพิพากษา


2. เมื่อระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ล่วงพ้นไปแล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดจะต้องยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งในคดีนี้สำนักงานอัยการสูงสุดได้มอบอำนาจให้พนักงานเจ้าหน้าที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)บังคับคดีแทน


3.สำนักงาน ป.ป.ช.ได้แจ้งหมายบังคับคดีแก่กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการในการสืบหาทรัพย์สินของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติตามคำพิพากษาและดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาดตามระเบียบของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม


4.กระทรวงยุติธรรมโดยกรมบังคับคดีนได้ดำเนินการสืบทรัพย์และยึดทรัพย์อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้


1.ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๖๓๒ แขวงทุ่งสองห้อง เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานครและที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๘๘๑ แขวงทุ่งสองห้อง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร จำนวน ๒ แปลงราคาประเมิน ๑๒,๑๓๖,๖๒๕ บาท คดีอยู่ระหว่างตรวจสอบผลการยึดทรัพย์เพื่อรายงานศาลขออนุญาตขายทอดตลาด


๒. สำนักงานบังคับคดีจังหวัดอุดรธานีบังคับคดีแทน ยึดที่ดินรวม ๔ แปลง รวมราคาประเมินทั้งสี่แปลง ๕,๓๖๖,๘๓๘ บาท คดีอยู่ระหว่างเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดอุดรธานีรายงานศาลขอให้จำเลยที่ ๒ นำส่งต้นฉบับโฉนดที่ดิน และ น.ส. ๓ ก และขออนุญาตขายทอดตลาดตามสำเนา ลงนัดรอฟังผลการบังคับคดีแทนจากสำนักงานบังคับคดีจังหวัดอุดรธานี


๓. สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเลยบังคับคดีแทน ยึดที่ดินรวม ๓๕ แปลง ราคาประเมิน๑๘,๖๕๗,๐๙๐ บาท คดีมีผู้ร้องขัดทรัพย์ ต่อมาศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดได้เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๑ เป็นเงิน ๑๕,๕๙๐,๐๐๐ บาท ยังไม่ได้โอนสิทธิครอบครองให้แก่ผู้ซื้อเนื่องจากคดีอยู่ระหว่างขยายระยะเวลาการวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือจนกว่าศาลจะมีคำสั่งถึงที่สุด

 

เนื่องจาก นายสุริยันต์ ทองไลย์ ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดในคดีแพ่งของศาลจังหวัดเลย หมายเลขดำที่ ๑๖๐๑/๒๕๕๑ ระหว่างนายสุริยันต์ ทองไลย์ โจทก์ กรมบังคับคดี ที่ ๑ นายพลชนก สุริยะศรีงามเลิศ (ผู้ซื้อทรัพย์) ที่ ๒ มิให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการใส่ชื่อผู้ซื้อทรัพย์ในที่ดินทั้ง ๓๕ แปลง ลงนัดรอฟังผลการบังคับคดีแทนจากสำนักงานบังคับคดีจังหวัดเลย


๔. สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงรายบังคับคดีแทน ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๑๔ เลขที่ดิน๑๗๘ ตำบลปางหมอปวง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ขายทอดตลาดทรัพย์ได้เงินจำนวน๑,๕๔๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๒ คดีอยู่ระหว่างแสดงบัญชีรายการรับจ่าย(รวมทรัพย์สินที่ยึดได้ประมาณ 34 ล้านบาท)

 

(อ้างอิงจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีตอบกระทู้ของนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์เรื่อง ความคืบหน้าคดียึดทรัพย์ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ราชกิจจานุเบกษาา 25 กุมภาพันธ์ 2553)

 

สำหรับกรณีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น อาจง่ายกว่าของนายรักเกียติมาก เนื่องจากมีเงินฝากอยู่ในบัญชีธนาคารต่างๆซึ่งได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)กว่า 69,000 ล้านบาท และยังอยู่ในรูปของหุ้นต่างๆซึ่งสามารถใช้หมายบังคับคดีของศาลฎีกาฯส่งให้แก่ธนาคารต่างๆได้ทันที


อย่างไรก็ตามเนื่องจากจำเลยยังมีเวลาในการอุทธรณ์คำพิพากษาต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายใน 30 วัน ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ อาจขอทุเลาการบังคับคดีไว่ก่อน จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือที่ประชุมใหญ่มีคำสั่งไม่รับคำอุทธรรณ์ไว้พิจารณา ซึ่งกรณีดังกล่าวกรมบัญชีกลางในฐานะผู้รับผิดชอบอาจจะยังไม่ขอให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องให้ศาลฎีกาออกหมายบังคับคดีเพื่อดูผลว่า ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีหรือไม่

                                http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267358674&grpid=00&catid=

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687



 

เปิด 35 บัญชีเงินฝากแบงก์ที่คตส.สั่งอายัดจาก"ครอบครัวทักษิณ"กรมบัญชีกลางรอ 30 วันก่อนยึดทรัพย์ "แม้ว"



วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 18:54:03 น.  มติชนออนไลน์

เปิด 35 บัญชีเงินฝากแบงก์ที่คตส.สั่งอายัดจาก"ครอบครัวทักษิณ"กรมบัญชีกลางรอ 30 วันก่อนยึดทรัพย์ "แม้ว"

เปิด 35 บัญชีเงินฝากธนาคาร-หน่วยลงทุน ที่คตส.มีคำสั่งอายัดจากครอบครัว"ชินวัตร-ดามาพงศ์" กรมบัญชีกลางรอ 30วัน ก่อนยึดทรัพย์"แม้ว" ยันไม่มีคำสั่ง จัดสรร 25%เป็นสินบนให้คตส.

 

สำหรับกระบวนการดำเนินการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายึดทรัพย์จำนวน 46,373,687,454.70 บาทตกเป็นของแผ่นดิน นายพงษ์ภาณุ เศวตรุณทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลางชี้แจงว่า จะต้องรอเวลา 30 วันว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ หากไม่มีข้อมูลใหม่เพื่อยื่นอุทธรณ์ ก็จะจบใน 30 วัน และกระทรวงการคลังจะรับเงินได้ โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ ส่วนที่เป็นเงินสด จะให้สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังเปิดเป็นบัญชีเงินฝากที่เป็นบัญชีกลาง รับเงินเข้าเป็นเงินฝากนอกงบประมาณ เพื่อบันทึกเป็นรายได้แผ่นดินในงบประมาณ กรณีที่เป็นที่ดินจะส่งให้กรมธนารักษ์รับเป็นที่ราชพัสดุ ไม่สามารถขายได้ แต่จะบริหารจัดการต่อไป และส่วนที่เป็นหุ้น จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) รับไปบริหารจัดการต่อไป     
 

"ทุกอย่างต้องรอหลัง 30 วันเพื่อความชัดเจน หลังจากนั้นเงินก็จะเข้าเป็นเงินคงคลัง เพื่อบันทึกเป็นรายได้ในงบประมาณ ซึ่งจะทำให้เกินดุลในงบประมาณอีก 4.6 หมื่นล้านบาท และจะทำให้การปิดหีบงบประมาณปี 2553 ไม่มีปัญหา ยังไม่รวมกับการจัดเก็บรายได้ที่สูงกว่าประมาณการณ์อีก 1.72 แสนล้านบาท ทำให้การขาดดุลงบประมาณน้อยลง ส่วนจะนำไปใช้อะไร ก็ขึ้นกับรัฐบาลว่าจะมีการตั้งงบประมาณกลางปีหรือไม่ หรือจะไปตั้งในงบประมาณปี 2554 เพิ่ม


ผู้สื่อข่าวถามว่า กรมบัญชีกลางจะต้องจัดสรรทรัพย์ที่ยึดได้ 25% ให้แก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ตามที่กลุ่มเสื้อแดงออกมาระบุหรือไม่ นายพงษ์ภาณุกล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องที่จะต้องแบ่งส่วนนี้ให้ผู้ที่แจ้งเบาะแส   
 

อนึ่ง เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาว่า ให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 46,373,687,454.70 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน โดยบังคับเอาจากทรัพย์สินที่อายัดตามคำสั่งคตส. นั้น ประกอบด้วย
 

คำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบที่ คตส.016/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550 ได้แก่


บัญชีเงินฝาก
ธนาคารกรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ บัญชีเลขที่ 127-2-37287-9 ชื่อบัญชี น.ส.พินทองทา ชินวัตร
ธนาคารกรุงเทพ สาขาราชวัตร บัญชีเลขที่ 146-2-31081-2 ชื่อบัญชี น.ส.พินทองทา ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาชิดลม บัญชีเลขที่ 001-0-55188-2 ชื่อบัญชี น.ส.พินทองทา ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-2-414524-4 ชื่อบัญชี น.ส.พินทองทา ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-12631-3 ชื่อบัญชี น.ส.พินทองทา ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-12222-0 ชื่อบัญชี น.ส.พินทองทา ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาพหลโยธิน บัญชีเลขที่ 014-1-11300-9 ชื่อบัญชี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาพหลโยธิน บัญชีเลขที่ 014-2-41335-5 ชื่อบัญชี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-2-78188-1 ชื่อบัญชีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-11188-9 ชื่อบัญชีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-13095-6 ชื่อบัญชีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-2-27722-2 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารกรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ บัญชีเลขที่ 127-2-37342-2 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารกรุงเทพฯ บัญชีเลขที่ 127-2-37343-0 ชื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาชิดลม บัญชีเลขที่ 001-1-55232-5 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยเซ็นจูรี บัญชีเลขที่ 208-1-00022-9 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-2-31008-8 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-13092-2 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-12632-1 ชื่อบัญชี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร


หน่วยลงทุน
หน่วยลงทุน น.ส.พินทองทา ชินวัตร ในบัญชีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ตราสารหนี้ เลขทะเบียนที่ 111-8-0226591-6 จำนวน 13215,843.1522หน่วย
หน่วยลงทุน ของพานทองแท้ ชินวัตร ในบัญชีกองทุนเปิดไทยสะสมทัพย์ ตราสารหนี้ เลขที่บัญชี 001-8-0283005-7 จำนวน 70,815,404.7729 หน่วย


ตามคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบที่ คตส.017/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550 ได้แก่


บัญชีเงินฝาก
ธนาคารกรุงเทพ สาขาราชวัตร บัญชีเลขที่ 146-0-63930-3 ชื่อบัญชี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาชิดลม บัญชีเลขที่ 001-1-1-55021-8 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-03165-7 ชื่อบัญชีคุณหญิพจมาน ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-04128-8 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-04129-6 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาซอยอารีย์สัมพันธ์ บัญชีเลขที่ 056-2-00065-1 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนสุขสวัสดิ์ บัญชีเลขที่ 164-2-28388-9 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารกรุงเทพ สาขาราชวัตร บัญชีเลขที่ 146-0-44839-0 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสะพานควาย บัญชีเลขที่ 013-2-08229-9 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารทหารไทย สาขาย่อยเพนนินซูลา บัญชีเลขที่ 202-3-00330-0 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารนครหลวง สาขาสะพานควาย บัญชีเลขที่ 108-3-09761-3 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
 

ตามคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบที่ คตส.029/2550 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2550


บัญชีเงินฝาก
ธนาคารยูโอบี สาขาย่อยถนนพหลโยธิน 8 บัญชีเลขที่ 084-3-02118-9 ชื่อบัญชีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์
ธนาคารยูโอบี สาขาย่อยถนนพหลโยธิน 8 บัญชีเลขที่ 084-3-02187-4 ชื่อบัญชีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์


ตามคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบที่ คตส.028/2550 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2550
หน่วยลงทุนของคุณหญิงพจมานชินวัตร ในบัญชีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ตราสารหนี้ เลขที่ทะเบียน 001-8-266016-6 จำนวน 57,799,458.9970 หน่วย

                                http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267358142&grpid=01&catid=no

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

** Blacklist! 212 คนสีแดง !!!!! **

« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2010, 09:14:02 PM »

การเมืองไทยในปี 2553 จะถอยหลังก้าวเข้าสู่ยุคมืด ยุคทมิฬ มากขึ้นทุกที ย้อนกลับไปมืดมิดเสียยิ่งกว่ายุคเผด็จการทหารในอดีต
หรือยุคทหารทำลายล้างทหารในอดีตเสียอีกการที่การเมืองของไทยต้องย้อนหลังกลับไปกว่า 50 ปี


http://www.konthaiuk.com/forum/index.php?topic=9669

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

ปัญหาสิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดาของบุคคลภายใต้มาตรา ๒๑ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑

กรณีศึกษานางสาววิไลพรและน้องใน ฎ.๕๖๐/๒๕๔๓ : ปัญหาสิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดาของบุคคลภายใต้มาตรา ๒๑ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑

ข้อสอบในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล การศึกษาชั้นปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาเขตลำปาง ปีการศึกษา ๒๕๕๐ ภาคที่ ๒ ออกโดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า นางสาววิไลพร พรมไชยา นางสาวพัชรี พรมไชยา นายแสงเพชร พรมไชยา นางสาววรรณวิสา พรมไชยา และเด็กชายทองแดง พรมไชยา เป็นบุตรของนายยุทธเวท พรมไชยา คนสัญชาติไทย และนางพันธ์ แสนคำ คนสัญชาติลาว ซึ่งนางสาววิไลพรและน้องทั้ง ๔ คน เกิดก่อนวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๕ ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในขณะที่นายยุทธเวทบิดาเดินทางไปประกอบอาชีพอยู่ในประเทศดังกล่าว และได้อยู่กินเป็นสามีภริยากับนางพันธ์ตามประเพณี

ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ นายยุทธเวทได้พานางพันธ์ ตลอดจนบุตรทั้ง ๕ คน อพยพกลับเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และนางสาววิไลพรและน้องทั้ง ๔ คนได้ยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมตำรวจ แต่องค์กรนี้ของรัฐมีคำสั่งยกคำขอของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงร้องต่อศาลไทยเพื่อให้ศาลนี้ยืนยันความเป็นไทยโดยสัญชาติของผู้ ร้องทั้งหมด

พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่ง เขต ๔ คัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งห้าไม่ได้เป็นบุตรของนายยุทธเวท และนายยุทธเวทไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางพันธ์ แสนคำ ผู้ร้องทั้งห้าจึงไม่ได้สัญชาติไทย จึงขอให้ศาลไทยยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกคำร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑,๕๐๐ บาท

ผู้ร้องทั้งห้าอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า ผู้ร้องทั้งห้าไม่ต้องใช้ค่าทนายความแทนผู้คัดค้าน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้คัดค้านแก้อุทธรณ์เอง จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้

ผู้ร้องทั้งห้าฎีกา

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองใน ฎ.๕๖๐/๒๕๔๓ วินิจฉัยว่า "ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งห้ามีว่า ผู้ร้องทั้งห้าได้สัญชาติไทยโดยการเกิดหรือไม่ เห็นว่าพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗(๑) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา๔ บัญญัติว่า "บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ๗ (๑) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย” และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ บัญญัติว่า "บท บัญญัติมาตรา ๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย"  ฉะนั้น ผู้ร้องทั้งห้าจะได้สัญชาติไทยโดยการเกิดหรือไม่ ต้องบังคับตามบทกฎหมายดังกล่าว ผู้ร้องทั้งห้าเกิดนอกราชอาณาจักรไทยจะได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ผู้ร้องต้องเกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย บิดาตามบทกฎหมายดังกล่าว หมายถึงบิดาตามกฎหมายไม่ได้หมายรวมถึงบิดาซึ่งมิได้มีการสมรสกับมารดา หากจะหมายรวมถึงบิดาที่มิได้มีการสมรสกับมารดาด้วยกฎหมายจะบัญญัติไว้โดย แจ้งชัดเช่น ตามมาตรา ๗ ทวิ วรรคหนึ่ง เป็นต้น เมื่อผู้ร้องทั้งห้าเกิดโดยมารดาเป็นผู้มีสัญชาติลาว แม้เกิดจากบิดาผู้มีสัญชาติไทยแต่ไม่ใช่บิดาตามกฎหมาย ผู้ร้องทั้งห้าย่อมไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗ (๑) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๐  ส่วนหนังสือที่กระทรวงมหาดไทยมีถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดและปลัด กรุงเทพมหานคร ให้ถือปฏิบัติตามข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของบุคคลตามพระราชบัญญัติ สัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ที่ว่า ผู้เกิดนอกราชอาณาจักรไทย โดยบิดาผู้มีสัญชาติไทยกับมารดาผู้มีสัญชาติอื่น และบิดามิได้สมรสกับมารดาย่อมได้สัญชาติไทยตามเอกสารหมาย ร.๒๐ นั้น เห็นว่า หนังสือดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง หามีผลลบล้างกฎหมายไม่

ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องทั้งห้าฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน”

ในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งมาตรา ๖ บัญญัติว่า “ให้ เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕  “คำว่าบิดาตาม (๑) ให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นบิดาของผู้เกิดตามวิธีการ ที่กำหนดในกฎกระทรวง แม้ผู้นั้นจะมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เกิด และมิได้จดทะเบียนรับรองผู้เกิดเป็นบุตรก็ตาม”  ในขณะมาตรา ๒๐ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งบัญญัติว่า “บท บัญญัติวรรคสองของมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย

--------

คำถาม

--------

โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ถามว่า

๑.จะต้องใช้กฎหมายของ ประเทศใดกำหนดสิทธิในสัญชาติลาวของนางสาววิไลพรและน้องทั้ง ๔ คน ? เพราะเหตุใด ? หากเป็นกฎหมายไทย ขอให้ตอบด้วยว่า เป็นฉบับใด ?

๒.จะต้องใช้กฎหมายของ ประเทศใดกำหนดสิทธิในสัญชาติไทยของนางสาววิไลพรและน้องทั้ง ๔ คน ? เพราะเหตุใด ? หากเป็นกฎหมายไทย ขอให้ตอบด้วยว่า เป็นฉบับใด ?

๓.ในปัจจุบัน นางสาววิไลพรและน้องทั้ง ๔ คน มีสถานะเป็นคนสัญชาติไทยหรือคนต่างด้าว ? เพราะเหตุใด ? อย่างไร ?

--------

แนวคำตอบ

--------

ใน ประการแรก ผู้ออกข้อสอบต้องการให้ผู้สอบได้วางหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล พื้นฐานในเรื่องหลักอำนาจอธิปไตยของรัฐและหลักการเลือกการกฎหมา จะเห็นว่า กรณีเป็นเรื่องของสิทธิในสัญชาติหรือสถานะความเป็นคนต่างด้าวในประเทศไทยของ นางสาววิไลพรและน้องอีก ๔ คน ซึ่งเป็นเรื่องตามกฎหมายมหาชน ด้วยว่า เป็นเรื่องระหว่างรัฐและเอกชน จึงเป็นนิติสัมพันธ์ของเอกชนตามกฎหมายมหาชน แต่เป็นกรณีที่มีจุดเกาะเกี่ยวกับ ๒ รัฐ กล่าวคือ รัฐไทย และรัฐลาว นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชนที่เกิดขึ้นจึงมีลักษณะระหว่างประเทศไทย

ในประการที่สอง ผู้ออกข้อสอบคาดหวังว่า นักศึกษาผู้สอบจะตอบข้อสอบตามประเด็นคำถามที่ผู้ออกข้อสอบได้ตั้งให้อย่างชัดเจน

สำหรับคำถามแรกนั้น เป็นการถามให้เลือกใช้กฎหมายเพื่อกำหนดสิทธิในสัญชาติลาวของนางสาววิไลพรและน้องทั้ง ๔ คน และ ให้เหตุผล ซึ่งเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในสัญชาติลาว ย่อมเป็นนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐลาวซึ่งเป็นรัฐเจ้าของสัญชาติลาวกับนางสาว วิไลพรและน้องทั้ง ๔ คน ดังนั้น สิทธิดังกล่าวจะมีอยู่หรือไม่ย่อมเป็นไปตามกฎหมายลาวว่าด้วยสัญชาติลาว มิใช่กฎหมายไทย ทั้งนี้เพราะว่า โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชนย่อมเป็นไปตามกฎหมายมหาชนของรัฐคู่กรณี ทั้งนี้ เว้นแต่จะกำหนดเป็นอย่างอื่น ซึ่งเมื่อไม่ปรากฏมีความตกลงระหว่างประเทศไทยและประเทศลาวเป็นอย่างอื่น ก็จะต้องว่าตามกฎหมายลาวเท่านั้น

ในส่วนคำถามที่สองนั้น เป็นการถามให้เลือกกฎหมายใช้กฎหมายเพื่อกำหนดสิทธิในสัญชาติไทยของนางสาววิไลพรและน้องทั้ง ๔ คน ซึ่งเป็นเรื่องที่ใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลในลักษณะเดียวกับ คำถามแรก กล่าวคือ จะต้องใช้กฎหมายมหาชนของรัฐคู่กรณี ทั้งนี้ เว้นแต่จะกำหนดเป็นอย่างอื่น ซึ่งในกรณีตามคำถามนี้ เป็นการถามถึงสิทธิในสัญชาติไทย ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างรัฐไทยซึ่งเป็นรัฐเจ้าของสัญชาติไทยกับนางสาววิไลพร และน้องทั้ง ๔ คน และเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน สิทธิดังกล่าวจะมีอยู่หรือไม่ย่อมเป็นไปตามกฎหมายไทยว่าด้วยสัญชาติไทย มิใช่กฎหมายลาว

ใน คำถามสุดท้าย เป็นการถามความรู้ปัจจุบันของผู้สอบว่า เข้าใจถึงนัยยะของการแก้ไขกฎหมายใหม่ในเรื่องสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิต จากบิดาหรือไม่  จะเห็นว่า นางสาววิไลพรและน้องทั้ง ๔ คน ย่อมมีสถานะเป็นคนต่างด้าวในประเทศไทยมาตั้งแต่เกิด เพราะไม่มีข้อเท็จจริงครบตามที่กฎหมายไทยว่าด้วยสัญชาติไทยกำหนดในขณะที่ เกิด กล่าวคือ ไม่ปรากฏว่า บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนสัญชาติไทย

แต่ในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ ในราชกิจจานุเบกษา กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ตีความคำว่า “บิดา” ในมาตรา ๗ (๑) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งถูกเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ ให้หมายถึงทั้งบิดาตามข้อกฎหมายและตามข้อเท็จจริง และยังกำหนดให้การตีความนี้มีผลย้อนหลังไปใช้กับบุคคลที่เกิดก่อนวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑

การกำหนดดังกล่าวย่อมมีผล ๒ ประการ กล่าวคือ

ในประการแรก บุคคลที่ไม่ได้สิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดาในขณะที่เกิด ย่อมได้รับผลดีจากการกำหนดให้การตีความนี้ย้อนหลังไปในอดีตด้วย กล่าวคือ บุคคลดังกล่าวจะเริ่มมีสถานะคนสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดาตั้งแต่ วันที่ พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ มีผล กล่าวคือ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ อันเป็นวันที่ถัดจากวันที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ ในราชกิจจานุเบกษา

ในประการที่สอง บุคคลที่เกิดตั้งแต่วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ จากบิดาตามข้อเท็จจริงที่มีสัญชาติไทย ย่อมมีสิทธิในสัญชาติไทย เฉกเช่นเดียวกับบุคคลที่เกิดจากบิดาตามข้อกฎหมายที่มีสัญชาติไทยที่เป็นมา โดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม การร้องขอใช้สิทธิย่อมจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นบิดาของผู้เกิดตามวิธีการ ที่กำหนดในกฎกระทรวง

ดังนั้น หากนางสาววิไลพรและน้องทั้ง ๔ คน ใช้สิทธิตามมาตรา ๗ วรรค ๒ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ เพื่อเข้ารับการพิสูจน์ให้ได้ว่า นายยุทธเวทเป็นบิดาของผู้เกิดตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งกำลังจะออก มา และเมื่อการพิสูจน์เสร็จสิ้นลงและประสบความสำเร็จที่จะพิสูจน์ได้ตามกล่าว อ้าง นางสาววิไลพรและน้องทั้ง ๔ คน ย่อมจะมีสถานะเป็น “คนสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดาโดยการเกิด”

ปัญหา ก็คือ กฎกระทรวงดังว่า ยังไม่แล้วเสร็จ แม้ ๑ ปีผ่านไป หลังจากมาตรา ๒๐ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ สิทธิตามพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายของรัฐสภาบังเกิดแล้วในวันดังกล่าว แต่การใช้สิทธิตามอนุบัญญัติดังกล่าวยังทำไม่ได้ เพราะกฎกระทรวงยังไม่ถูกประกาศใช้

http://learners.in.th/blog/archanwell-right2nationality/358675



--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เปิด 5 ข้อกล่าวหา"ทักษิณ"ใช้อำนาจนายกฯเอื้อชินคอร์ป -ศาลฎีกาพิพากษาผิดรวดทั้ง 5 กระทง



วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 21:01:13 น.  มติชนออนไลน์

เปิด 5 ข้อกล่าวหา"ทักษิณ"ใช้อำนาจนายกฯเอื้อชินคอร์ป -ศาลฎีกาพิพากษาผิดรวดทั้ง 5 กระทง

ในคำร้องของอัยการสูงสุดที่ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ และได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน นั้น ได้กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีออกมาตรการต่างๆ 5 กรณีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปและบริษัทในเครือ 5 กรณีดังนี้

 

 

 

 

1.กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต โดยมีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยให้นำค่าสัมปทานมาหักกับภาษีสรรพสามิต อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกิจการของผู้ถูกกล่าวหาและพวกพ้อง อีกทั้งยังมีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพิ่มสูงขึ้นเป็น 20-50% ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ต้องรับภาระมากขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเดิมมีสิทธินำค่าสัมปทานไปหักจากภาษีของตนได้ พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นกีดกันระบบโทรคมนาคมเสรีอย่างแท้จริง ทำให้ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาประกอบกิจการแข่งขันกับบริษัทเอไอเอส(องค์คณะเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีการกระทำตามที่กล่าวหาทำให้รัฐเสียประโยขน์กว่า 60,000 ล้านบาท)


2.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) ลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) ให้กับบริษัท เอไอเอส ซึ่งจากการจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญา (ครั้งที่ 6) ดังกล่าวส่งผลให้บริษัทเอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ให้แก่ บริษัท ทศท ฯ ในอัตรา 20% คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จากเดิมที่ต้องจ่ายตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นแบบก้าวหน้าในอัตรา 25% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 - 30 กันยายน 2548 และในอัตรา 30% ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548 - 30 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน(องค์เสียงข้างมากมีมติว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอไอเอส)


3.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) ฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท เอไอเอส การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ให้บริษัท เอไอเอส เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นมีผลต่อการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้กับ บริษัท ทศทย  และบริษัท กสท ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท กลายเป็น บริษัทเอไอเอสจะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งบริษัทชินคอร์ปฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือหุ้นเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท เอไอเอส

 

ดังนั้น ผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอสได้รับดังกล่าวจึงตกกับหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น จนกระทั้งได้มีการขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์(องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ผลประโยชน์ในการลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วมตกอยู่กับเทมาเส็ก เนื่องจากมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส้กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549) 

 

4.กรณีละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม IP STAR, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ อันเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ชินแซทฯ (องค์คณะเสียงข้างมากมีมติว่า เป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ชินคอร์ปและชินแซท)

 

5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทฯ โดยเฉพาะ ซึ่งครั้งแรกผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงก์ให้วงเงิน 3,000 ล้านบาทแก่รัฐบาลสหภาพพม่า แล้วต่อมาได้สั่งการเห็นชอบเพิ่มวงเงินกู้อีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน

4,000 ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของสหภาพพม่า โดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน รวมทั้งให้ขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชินแซทฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาและครอบครัวชินวัตรกับพวกมีผลประโยชน์ถือหุ้นอยู่ ในการให้ได้รับงานจ้างพัฒนาระบบโทรคมนาคมจากรัฐบาลสหภาพพม่า (องค์คณะเสียงข้างมากลงมติว่า เป็นการกระทำเอื้อประโยชน์ชินแซท)

                                http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267184595&grpid=&catid=02

--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

ชะตา"ทักษิณ"หลังพ่ายคดียึดทรัพย์

 

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 21:16:49 น.  มติชนออนไลน์

ชะตา"ทักษิณ"หลังพ่ายคดียึดทรัพย์

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์

เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาได้ว่า การต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้สนับสนุน จะรุนแรงแค่ไหน

 

ภายหลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ กว่า 46,000 ล้านบาทในข้อหาร่ำรวยผิดปกติอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของ แต่ซุกหุ้นอยู่ในชื่อของลูกๆและเครือญาติ


แต่พอจะคาดหมายได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องเผชิญชะตากรรมเช่นไรจากผลของคำตัดสินดังกล่าว(ในทางกฎหมาย)


จากคำร้องของอัยการสูงสุดที่ยื่นต่อศาลฎีกา ระบุว่า ในการออกมาตราการ 5 ประการของพ.ต.ท.ทักษิณที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปนั้น ปรากฎหลักฐานในการสั่งการจนเป็นความผิดอาญาถึง 2 กรณีซึ่งมีการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯคือ


1.กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต โดยมีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยให้นำค่าสัมปทานมาหักกับภาษีสรรพสามิต อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกิจการของผู้ถูกกล่าวหาและพวกพ้อง อีกทั้งยังมีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพิ่มสูงขึ้นเป็น 20-50% ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ต้องรับภาระมากขึ้น

 

ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเดิมมีสิทธินำค่าสัมปทานไปหักจากภาษีของตนได้ พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นกีดกันระบบโทรคมนาคมเสรีอย่างแท้จริง ทำให้ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาประกอบกิจการแข่งขันกับบริษัทเอไอเอส (หมายเลขคดีดำที่ อม.9/2551 )


2.การอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทฯ โดยเฉพาะ ซึ่งครั้งแรกผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงก์ให้วงเงิน 3,000 ล้านบาทแก่รัฐบาลสหภาพพม่า


ต่อมาได้สั่งการเห็นชอบเพิ่มวงเงินกู้อีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 4,000 ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของสหภาพพม่า โดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน รวมทั้งให้ขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชินแซทฯ(หมายเลขคดีดำที่  อม.3/2551)


แต่จำเลยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีศาลฎีกาฯจึงสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวจนกว่าจะได้ตัวจำเลยมาฟ้องต่อศาล


จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเผชิญกับคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับคดียึดทรัพย์ถึง 2 คดีซึ่งศาลฎีกาฯ(องค์คณะยึดทรัพย์)เห็นว่า มีนการใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกระทำการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเอง


ดังนั้นคำถามคือ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งต้องพิจารณาคดีอาญาทั้งสองคดีดังกล่าว จะพิพากษาคดีเป็นอย่างอื่นหรือตรงกันข้ามกับองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ได้หรือไม่ เพราะเท่ากับว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาขัดแย้งกันเองในเรื่องเดียวกัน


เมื่อดูจากคำฟ้องทั้ง 2 คดีที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดตามประมวลกฎหมายมาตรา 152 และ 157  ถ้าศาลฯพิพากษาว่า ผิดจริง ต้องระหว่างโทษจำคุกในแต่ละคดีตั้งแต่ 1-10 ปี(โทษหนักกว่าการซื้อที่ดินรัชดาภิเษกที่ระหว่างโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี แต่ศาลตัดสินจำคุกถึง 2 ปี ยังไม่รวมคดี หวยบนดินที่ศาลตัดสินไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณเพราะหลบหนี รวมถึงคดีอื่นๆที่มีการฟ้องแล้ว แต่ไม่ได้เกี่ยวพันกับคดีนี้ )


นอกจากนั้น การศาลฎีกาฯพิพากษา พ.ต.ท.ทักษิณ"อำพราง"หรือ"ซุกหุ้น"จริง ก็เท่ากับการการยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ตั้งแต่ปี 2544-2549 เป็นเท็จไม่ต่ำกว่า 6 ครั้ง ต้องระวางโทษจำคุกคดีละไม่เกิน 6 เดือนรวมแล้ว ถึง 3 ปี


หมายความว่า แม้จะได้ทรัพย์สินคืนบางส่วนกว่า 32,000 ล้านบาท แต่พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังไม่สารถกลับมาประเทสไทยได้เพราะมีคดีอาญารอต้อนรับอยู่อีกเพียบ ดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น


โอกาสเดียวที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดได้คือการต่อสู้จนมีการพระราชทานอภัยโทษหรือออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือต้องสู้จนกว่า"แผ่นดินจะกลบหน้า"ตามที่ได้ประกาศไว้

                               http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267194270&grpid=no&catid=02

--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

"เรืองไกร"ขู่ถอดรมต.ซุกหุ้นซ้ำแม้ว

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7031 ข่าวสดรายวัน


"เรืองไกร"ขู่ถอดรมต.ซุกหุ้นซ้ำแม้ว




วัน ที่ 27 ก.พ. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา ระบุว่าองค์คณะเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ป หรือทำการซุกหุ้นชินคอร์ปไว้ในชื่อบุตรและเครือญาติ ว่า กรรมาธิการจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยจะนำแนวคำพิพากษาดังกล่าวมาศึกษา เพื่อจะได้นำมาทำต่อในการพิจารณาติดตามว่ามีนักการเมืองที่มีพฤติกรรมเช่น เดียวกับพ.ต.ท. ทักษิณ หรือไม่ โดยต้องนำคำพิพากษามาเทียบเคียงทั้งหมด

นายเรืองไกร กล่าวว่า จากการติดตามเรื่องการถือครองหุ้นของเหล่านักการเมืองมาโดยตลอด เบื้องต้นพบว่ามีรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน บางคนมีพฤติกรรมเข้าข่ายซุกหุ้นเช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากมีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินก่อนเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี พบว่ามีการถือครองหุ้นจำนวนมาก ราคากว่า 300 ล้านบาท แต่พอมาเป็นรัฐมนตรีหุ้นดังกล่าวหายไป แต่ไปพบว่าบุตรสาวของรัฐมนตรีคนดังกล่าวกลับถือครองหุ้นแทนและตกเป็นลูกหนี้ แต่ไม่มีการจ่ายเงิน พฤติกรรมนี้ถือเป็นการแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ ตนอยากให้นักการเมืองมีจิตสำนึกมากกว่านี้ เพราะเห็นได้จากตัวอย่างคดีการยึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว เชื่อว่ายังมีนักการเมืองอีกหลายคนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายการซุกหุ้น ตนจะรวบรวมหลักฐานก่อนจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป


หน้า 9
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01EVXdNakk0TURJMU13PT0=&sectionid=TURNek5RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB5T0E9PQ==

--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

"ทักษิณ"ไม่พ้นวิบากกรรม ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านแค่น้ำจิ้ม ป.ป.ช.รอฟันอาญาเพิ่มอีก 6 คดีทุจริต !!




วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 13:01:09 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"ทักษิณ"ไม่พ้นวิบากกรรม ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านแค่น้ำจิ้ม ป.ป.ช.รอฟันอาญาเพิ่มอีก 6 คดีทุจริต !!

ทั้ง ทุจริตสนามบินสุวรรณภูมิ 2 คดี-สินเชื่อแบงก์กรุงไทยฉาว-ซุกหุ้นภาค 2 จับตาศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นแปลงสัมปทานและปล่อยกู้รัฐบาลพม่าผูกพันคดี ทุจริต คดีที่ดินรัชดาฯอีก2ปี

คำตัดสินคดียึดทรัพย์จำนวน 7.6 หมื่นล้าน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินในวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. 2553 นี้ ไม่ว่าจะออกมาไม่ยกฟ้อง ยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือยึดบางส่วน อดีตนายกรัฐมนตรียังคงต้องเผชิญกับคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับคดียึดทรัพย์ อีกอย่างน้อย 2-6 คดี
  รายงานข่าวแจ้งว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ในคดียึดทรัพย์ในวันที่ 26 ก.พ.จะมีต่อคดีทุจริตอื่น ๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้ ถ้าหากศาลฎีกาเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีพฤติการณ์ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในการเอื้อประโยชน์ให้แก่ บริษัทชินคอร์ปจริง โดยเฉพาะในเรื่องการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และการให้เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้แก่พม่าแล้ว ก็ยากที่ศาลฎีกาองค์คณะอื่นจะตัดสินคดีเป็นอย่างอื่น เพราะเท่ากับคำพิพากษาของศาลฎีกาขัดแย้งกันเองในเรื่องเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ยังมีคดีทุจริตอีกหลายคดีที่ค้างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม
  แหล่งข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นอกจากคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ยังมีคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหา ทั้งในชั้นศาลฎีกา ชั้นอัยการ และชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.อีกอย่างน้อย 6 คดี ไม่นับคดีซื้อที่ดินรัชดาฯที่ศาลสั่งจำคุก 2 ปี ได้แก่ 1.เรื่องกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพวก กรณีร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการประมูลงานจ้างเหมาบริการรักษาความ ปลอดภัย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยวิธีพิเศษ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนแล้ว โดยมีนายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเสนอคณะอนุกรรมการไต่ สวน 
  2.เรื่องกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คณะกรรมการบริหาร และพนักงานธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กับพวก ร่วมกันอนุมัติสินเชื่อจำนวนมาก โดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ 
คณะทำงานร่วม ฝ่ายคณะกรรมการ ป.ป.ช.และฝ่ายอัยการสูงสุด ได้ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานตามข้อที่ไม่สมบูรณ์ที่อัยการสูงสุดแจ้งให้ทราบ และส่งพยานหลักฐานซึ่งรวบรวมแล้วเสร็จไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาสั่งคดี แล้ว 
  3.เรื่องกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับพวก กระทำผิดโครงการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้ โดยสารและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (คดีซีทีเอ็กซ์) 
คณะ ทำงานร่วม ฝ่ายคณะกรรมการ ป.ป.ช.และฝ่ายอัยการสูงสุด อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อที่ไม่สมบูรณ์ และรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 11 โดยขณะนี้ได้ไต่สวนปากคำพยานและพิจารณาเอกสารหลักฐาน รวมทั้งพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงสรุปประเด็นทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสนอที่ประชุมคณะทำงาน พิจารณา
  4.คดีปกปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน (ซุกหุ้นภาค 2) คดีนี้มีผู้กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนนานแล้ว มีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง
  ในวันที่ 26 ก.พ. 2553 ถ้าศาลฎีกาวินิฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หุ้นชินคอร์ป จำนวน 1,419 ล้านหุ้นที่แท้จริง แต่ "อำพราง" หรือ "ซุก" อยู่ในชื่อลูก ๆ และเครือญาติ รวมถึงบริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เม้นต์ และบริษัท วินมาร์ค ลิมิเต็ด ที่ พ.ต.ท.ทักษิณใช้เป็นช่องทางในการผ่องถ่ายเงินเข้า-ออกประเทศไทย ผลของคำพิพากษาของศาลฎีกาจะส่งผลต่อคดีซุกหุ้นภาค 2 
  5.เรื่องกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ และปฏิบัติหน้าที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัทที่ตนถือหุ้นโดยแปลงค่าสัมปทานเป็น ภาษีสรรพสามิต
  คดีนี้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 ศาลนัดฟังคำสั่งแล้ว นัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 15 ตุลาคม 2551 โดยกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 152, 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 100, 122
ในการพิจารณาคดีครั้งแรก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลย ไม่มาศาล ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว และออกหมายจับจำเลย อยู่ระหว่างติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลย มาดำเนินคดี ถ้าศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์อย่างไร จะมีผลต่อคดีนี้โดยตรง
  6.สำหรับคดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้พม่านั้น คตส.ยื่นฟ้องเอง โดยกล่าวหาว่าเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วน ได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และมาตรา 157 
  นอกจากนี้ยังมีคดีที่ศาลรอการพิพากษา คือคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพวก รวม 47 คน กระทำความผิดเกี่ยวกับโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (คดีสลากเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว) คดีนี้ในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ศาลยังไม่ได้อ่านคำพิพากษา
  ส่วนคดีซื้อที่ดินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินโดยไม่ชอบ (คดีที่ดินรัชดาฯ) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 จำนวน 2 ปี ยกฟ้องสำหรับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 จำเลยไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด ศาลได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อนำตัวมารับโทษ
นายวรวิทย์ สุขบุญ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบทรัพย์สิน สำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยความคืบหน้าคดี พ.ต.ท.ทักษิณซุกหุ้นภาค 2 ยอมรับว่า ป.ป.ช.รอดูผลคำพิพากษาของศาลฎีกาว่าจะออกมาอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ไม่ได้หมายความว่าคำพิพากษาจะมีผูกพันกับ ป.ป.ช. ในคดีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีดุลพินิจที่เป็นอิสระ
                               http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1266928767&grpid=no&catid=04

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

ป.ป.ช.ฟัน "2 บิ๊ก"ทีโอทีทุจริตพิมพ์สมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองเอื้อประโยชน์ บ.ชินวัตรฯ




วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 14:50:07 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ป.ป.ช.ฟัน "2 บิ๊ก"ทีโอทีทุจริตพิมพ์สมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองเอื้อประโยชน์ บ.ชินวัตรฯ

ป.ป.ช.ฟัน 2 ผู้บริหารทีโอทีทุจริตจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์หน้าเหลือง ตั้งแต่ยังเป็นองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.) ทั้งแบ่งเขตการพิมพ์ ลดขนาด ลดค่าขนส่งเพื่อให้บริษัทชินวัตรไดเร็คทอรี่ส์ จำกัด ผู้รับจ้างได้รับประโยชน์เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายลง ขณะที่ทศท.ได้รับความเสียหาย

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ได้เผยแพร่เอกสาร ข่าวเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่า นายวิทู รักษ์วนิชพงศ์  อดีตรองผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยหรือ ทศท.(ปัจจุบันคือ ทีโอที จำกัด (มหาชน))นายวิเชียร นาคสีนวล ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลประโยชน์(ปัจจุบันเป็นรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีโอที) มีมูลเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลเป็นความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา 157 กรณีทุจริตในการจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ เป็นเหตุให้บริษัท ชินวัตร ไดเร็คทอรี่ส์ จำกัด ในฐานะผู้รับจ้างได้รับผลประโยชน์
เอกสารข่าว ปงป.ช.ระบุว่า กรณีดังกล่าวคณะกรรมการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง เรื่องกล่าวหา นายวิทู รักษ์วนิชพงศ์ ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ ทศท. และนายวิเชียร นาคสีนวล ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ ายบริหารผลประโยชน์ ทศท. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ในการจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ เป็นเหตุให้บริษัท ชินวัตร ไดเร็คทอรี่ส์ จำกัด ได้รับผลประโยชน์ โดยมีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการฯแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ทสท.ขณะนันั้นได้ทำสัญญาการจัดพิมพ์และโฆษณาสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ (DIRECTORIES) กับบริษัท ชินวัตร ไดเร็คทอรี่ส์(ในเครือบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)) จำกัด เมื่อวันที่ 27 มกราคม2538 ให้จัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์เป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ฉบับประจำปีพ.ศ.2539 ถึงฉบับประจำปี พ.ศ.2548 และให้จัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์เขตโทรศัพท์นครหลวงและเขตโทรศัพท์ ภูมิภาค ตามการแบ่งเขตที่ ทศท.กำหนด โดยเขตนครหลวงแบ่งเป็น 4 เขต เขตภูมิภาค แบ่งเป็น 4 ภาค (เขต) และที่จะกำหนดต่อไปในภายหน้า
หลังจากการทำสัญญาดังกล่าว บริษัท ชินวัตรไดเร็คทอรี่ส์ มีหนังสือลงวันที่ 7 มิถุนายน 2538 และวันที่ 19 มิถุนายน2538 ถึง ทศท. ขอเปลี่ยนแปลงการแบ่งเขตโทรศัพท์ภูมิภาคใหม่ จาก 4 ภาค(เขต) เป็น 5 ภาค (เขต) โดยแยกภาคตะวันออกออกจากภาคกลาง และการจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์เขตโทรศัพท์นครหลวง สมุดรายชื่อบุคคลทั่วไป จัดพิมพ์แบ่งเป็น 4 ฉบับ รายชื่อธุรกิจ 1 ฉบับซึ่งนายจุมพล เหราบัตย์ ผู้อำนวยการ ทศท. ขณะนั้นได้อนุมัติเมื่อวันที่ 6ธันวาคม 2538
ทศท.ได้มีหนังสือลงวันที่ 18 ธันวาคม 2538 แจ้งให้บริษัท ชินวัตรไดเร็คทอรี่ส์ จำกัด จัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ เขตโทรศัพท์นครหลวง แบ่งเป็น 4 เขตโดยให้จัดพิมพ์ เป็น 5 ฉบับ แยกเป็นสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์บุคคลทั่วไป 4 ฉบับ ฉบับรายชื่อธุรกิจ1 ฉบับ ส่วนสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ภูมิภาค แยกเป็น 5 ภาค (เขต) และสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ฉบับโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 470 และ 900 แยกเป็น 1 ฉบับ
ต่อมา นายวิทู รักษ์วนิชพงศ์ มีคำสั่งแต่งตั้ง คณะทำงานพิจารณาแนวทางการจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ ฉบับปีพ.ศ. 2540 โดยมี นายวิเชียร นาคสีนวล  เป็นหัวหน้าคณะทำงานกับพวก รวม 6 คน และมีผู้แทนบริษัท ชินวัตรไดเร็คทอรี่ส์ จำกัด เป็นคณะทำงานร่วมด้วย
ต่อมานายวิเชียร นาคสีนวล และคณะทำงาน มีบันทึกลงวันที่ 20 กันยายน 2539 เสนอแนวทางการปรับปรุงการจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ สำหรับเขตนครหลวง ฉบับปี พ.ศ.2540 โดยเปลี่ยนจากเดิม มี สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ จำนวน 8 เล่ม ใน 4 เขต เป็นเขตละ 1 เล่ม รวม 12 เขต ส่วนเขตภูมิภาคฉบับปี พ.ศ.2541 จากเดิมแบ่งตามเขตย่อย 5 ภาค (เขต) คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการแบ่งตามเขต AREA CODE ของ ทศท. แบ่งออกเป็น 20 เขต เขตละ1 เล่ม และแจกจ่ายให้เฉพาะผู้ใช้โทรศัพท์ในเขตที่มีหมายเลขโดยตรง ซึ่งไม่ได้แจกจ่ายให้เขตอื่น ๆ ด้วยโดยเสนอเรื่องผ่านผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทศท.เพื่อนำเสนอผู้อำนวยการ ทศท. อนุมัติ
แต่ปรากฏว่า นายจุมพล เหราบัตย์ ผู้อำนวยการทศท. ขณะนั้น ไม่ทราบเรื่องและไม่ได้เป็นผู้อนุมัติให้ดำเนินการปรับปรุงการจัดพิมพ์สมุด รายนามผู้ใช้โทรศัพท์ตามแนวทางของคณะทำงานดังกล่าว
แต่ นายวิทู รักษ์วนิชพงศ์ ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ ทศท.เป็นผู้ลงนามอนุมัติการแบ่งเขตการจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ตาม แนวทางการปรับปรุงการจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ เขตนครหลวงฉบับปี พ.ศ. 2540และเขตโทรศัพท์ภูมิภาค ฉบับปี 2541 ตามที่คณะทำงานพิจารณาแนวทางการจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ฉบับปี พ.ศ.2540 เสนอ ทั้งที่ นายวิทู รักษ์วนิชพงศ์ ไม่มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติ เนื่องจากเป็นอำนาจของผู้อำนวยการทศท.อีกทั้งมิได้มีการนำเสนอให้คณะกรรมการทศท.พิจารณาให้ความเห็นชอบหรือรับทราบก่อนลงนามอนุมัติ
ต่อมานายวิเชียร นาคศรีนวล มีหนังสือทศท.ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2539 แจ้งให้บริษัท ชินวัตรไดเร็คทอรี่ส์ จำกัด จัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์เขตนครหลวง ฉบับปี พ.ศ.2540 และเขตภูมิภาค ฉบับปี พ.ศ.2541 ผิดไปจากสัญญาฉบับลงวันที่ 27 มกราคม 2538 และไม่เป็นไปตามที่นายจุมพล เหราบัตย์ ผู้อำนวยการทศท.ได้อนุมัติไว้ ซึ่งจากการปรับปรุงการจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ดังกล่าว เป็นเหตุให้บริษัท ชินวัตรไดเร็คทอรี่ส์ จำกัด ได้รับประโยชน์สามารถลดค่าใช้จ่ายการผลิตสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ ฉบับปี พ.ศ.2540 และฉบับปี พ.ศ.2541เนื่องจากกระดาษที่ใช้พิมพ์ลดลง พิมพ์เล่มเล็กลง ค่าขนส่งลดลง และเป็นเหตุให้ ทศท.ได้รับความเสียหาย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า การกระทำของ นายวิทู รักษ์วนิชพงศ์และนายวิเชียร นาคสีนวล มีมูลเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลเป็นความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา 157ให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยและไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับบุคคลทั้งสองตาม ฐานความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 92 และมาตรา 97 แล้วแต่กรณี ต่อไป
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1267083915&grpid=01&catid=no

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

เปิดเครือข่ายธุรกิจ "เอก พระราม9"โชว์รูมรถหรู 120 ล้าน พัวพันคดีฟอกเงินยาเสพติดภาคใต้ ???








วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 15:47:07 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เปิดเครือข่ายธุรกิจ "เอก พระราม9"โชว์รูมรถหรู 120 ล้าน พัวพันคดีฟอกเงินยาเสพติดภาคใต้ ???

ตกเป็นข่าวหน้า 1 ไปเรียบร้อยแล้ว นักแข่งรถชื่อดัง "เอก PRO SPEC" หรือ นายบารมี อัมพรตระกูล นักธุรกิจเจ้าของโชว์รูมรถยนต์หรูย่านพระราม 9 เมื่อถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับคดีฟอกเงินจากค้ายาเสพติด "ประชาชาติธุรกิจ" ตามไปเจาะเครือข่าย ธุรกิจ "เอก พระราม9"โชว์รูมรถหรู 120 ล้าน

... 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  ร่วมกับ พล.ต.อ.กฤษณะ ผลอนันต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พล.ต.ท.อติเทพ ปัญจมานนท์ ผบช. ปส. และ พล.ต.ท.ณรงค์ ศิริสุนทร ผบช.ตชด. ได้นำกำลังเข้าตรวจค้น โชว์รูมรถยนต์ พระราม 9 ออโต้ของนายบารมี เลขที่ 264 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ พร้อมยึดรถยนต์จำนวน 17 คัน มูลค่า 120 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรถแข่ง อาทิ ยี่ห้อ พอร์ซ เฟอรารี่  แลมโบร์กินี  เลกซัส บีเอ็มดับเบิลยู เนื่องจากพัวพันกับเครือข่ายยาเสพติดระหว่างประเทศ
      นายพีระพันธุ์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ต้องหาได้ 4 คน พร้อมยาบ้า 134,000 เม็ด และเงินสดกว่า 6 ล้านบาท ในอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นแก๊งยาบ้ารายใหญ่ของภาคใต้ ครอบคลุมประเทศมาเลเซีย  จากการสอบสวนผู้ต้องหาสารภาพว่าใช้เงินสดที่ได้จากการขายยาบ้าไปซื้อรถยนต์ ราคาแพงจำนวนมาก 1 ในนั้นได้จดกรรมสิทธิในนามบริษัท พระราม 9 ออโต จำกัด ด้วย เจ้าหน้าที่ได้อายัดรถยนต์ทั้ง 17 คันไว้ตรวจสอบ
      ขณะที่ พล.ต.ท.อติเทพ ระบุว่า ผู้ต้องหาคนหนึ่งได้นำเงินที่ได้จากการขายยาบ้ามาซื้อรถยนต์ราคาแพงแล้วนำมา จอดขายที่โชว์รูมรถที่พระราม 9 เพื่อฟอกเงิน นอกจากนี้ยังทำธุรกิจส่งกล้ายางพารา มะนาว และมะละกอ บังหน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเรียกตัวนายบารมีมาสอบสวนว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายา เสพติดหรือไม่
      "ประชาชาติธุรกิจ"ตรวจสอบพบว่า นายบารมี อัมพรตระกูล เป็นเจ้าของธุรกิจ  4 บริษัท ได้แก่
       1.บริษัท พระราม 9 ออโต จำกัด 
       2.บริษัท ขุมทอง ทัวร์ จำกัด
       3. บริษัท เพชรอัมพร จำกัด 
       และ 4. บริษัท เมาดีพ จำกัด
       บริษัท พระราม 9 ออโต จำกัด ก่อตั้งวันที่ 14 มิถุนายน 2544 ทุนจดทะเบียน  1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่  264 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ มีนายบารมี อัมพรตระกูล ถือหุ้น 33.9 % นางวรรณี เลี่ยมแจ่ม 33 %  นายสละ เลี่ยมแจ่ม 33 %   มีกรรมการ  3 คนคือ นายบารมี อัมพรตระกูล  นายชวลิต เลี่ยมแจ่ม และนางสาวอัญชลี เลี่ยมแจ่ม
       บริษัท พระราม 9 ออโต จำกัด ได้แจ้งผลประกอบการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ว่า ปี 2551 รายได้ 2 ล้านบาท  กำไรสุทธิ 3 แสนบาทเศษ  ปี 2550 รายได้ 2 แสนบาทเศษ ขาดทุน 7 แสนบาทเศษ มีสินทรัพย์เพียง 4 แสนบาทเศษ
      บริษัท ขุมทอง ทัวร์ จำกัด  ก่อตั้งวันที่ 22 สิงหาคม 2544  ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท  ที่ตั้งเดียวกัน ประกอบธุรกิจ จำหน่าย จัดหา เช่า เช่าซื้อ จำนำรถยนต์
 ผู้ถือหุ้น 30 เมษายน 2547   ผู้ถือหุ้น ได้แก่ นายดิเรก ธนศิลาชัย  นายบรรยงค์ อัมพรตระกูล  นายชวลิต เลี่ยมแจ่ม  นางชวลี อัมพรตระกูล  นายบารมี อัมพรตระกูล  นางสาวยุวลี อัมพรตระกูล  และนางสาวอัญชลี เลี่ยมแจ่ม  โดยมีนายบรรยงค์ อัมพรตระกูล  และนายบารมี อัมพรตระกูล เป็นกรรมการ
      บริษัทนี้ไม่ส่งงบการเงินหลายปีติดต่อกัน
       บริษัท เพชรอัมพร จำกัด  ก่อตั้งวันที่   24 กรกฎาคม 2530 ทุนจดทะเบียน   1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 43 ซอยลาดกระบัง 44 ถนนลาดกระบัง แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ  ประกอบธุรกิจขายหินแกรนิต หินอ่อน  ผู้ถือหุ้น  นายบรรยงค์ อัมพรตระกูล นางชวลี อัมพรตระกูล  นางสาวชวไล ชุ่มคำ  นายสนอง อาจหาญ  นางสุนีย์ ตั้งสง่า นายชาติ อัมพรตระกูล  และนางสุทธิมา มาศปกรณ์   มีนายบรรยงค์ อัมพรตระกูล นางสุนีย์ ตั้งสง่า น.ส.ชวไล ชุ่มคำ น.ส.ยุวลี อัมพรตระกูล  และนายบารมี อัมพรตระกูล เป็นกรรมการ
      ผลประกอบการ ปี 2551 รายได้ 6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.5 แสนบาท  ปี 2550 รายได้ 6.8 ล้านบาทา กำไรสุทธิ 3.8 แสนบาท  มีสินทรัพย์ 2.7 ล้านบาท
      บริษัท เมาดีพ จำกัด  ผับ-ร้านอาหาร  ก่อตั้งวันที่  18 มิถุนายน 2552 ทุนจดทะเบียน  1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 671 หมู่บ้านหมู่บ้านรัชดานิเวศน์ 21 ซอยหมู่บ้านรัชดานิเวศน์ 21 ถนนประชาอุทิศ แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ  มีนายวิโรจน์ วรรณพงศ์ศิริ  และนายบารมี อัมพรตระกูล เป็นกรรมการ
      จากการตรวจสอบพบว่า  นายสละ เลี่ยมแจ่ม และ นางวรรณี เลี่ยมแจ่ม  หุ้นส่วนของนายบารมี เป็นเจ้าของอพาร์ทเม้นให้เช่าในชื่อ บริษัท สยามท้องถิ่น จำกัด ก่อตั้งวันที่  10 กรกฎาคม 2538  ทุนจดทะเบียน   20 ล้านบาท  ที่ตั้ง เลขที่ 456/1 ถนนประชาอุทิศ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
      ส่วนนายบรรยงค์ อัมพรตระกูล ถือหุ้นและเป็นกรรมการ บริษัท ลาดกระบังขนส่ง จำกัด ก่อตั้งเมื่อวันที่  30 ตุลาคม 2530 ทุนจดทะเบียน  20 ล้านบาท
ที่ตั้งเลขที่  300/46 หมู่ที่ 1 ถนนหลวงแพ่ง แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ มีนายอวยชัย ตั้งสง่า นายบรรยงค์ อัมพรตระกูล  นายธวัชชัย ตั้งสง่า นายเอกชัย ตั้งสง่า เป็นกรรมการ  ซึ่งตระกูลตั้งสง่า เป็นเจ้าของธุรกิจนับสิบบริษัท
      กล่าวสำหรับนายบารมี นักแข่งรถดัง ชะตากรรมจะเป็นอย่างไร ?
      ต้องติดตามกันต่อไป

ขอบคุณภาพจาก :หนังสือพิมพ์ไทยรัฐและเดลินิวส์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1267087813&grpid=01&catid=no

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

วิวิทย์วิน เตียสวัสดิ์ สู้ 1 ปีมีแค่กระดาษ

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7030 ข่าวสดรายวัน


วิวิทย์วิน เตียสวัสดิ์ สู้ 1 ปีมีแค่กระดาษ


คอลัมน์ ข่าวทะลุคน




ต่อสู้มาเป็นปี แถมลงทุน"ปาอึ"ใส่บ้านพักของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

จนตัวเองต้องนอนคุก 5 วัน

เพื่อหวังแก้ปัญหาสำนักงานข้างบ้าน พ่นควันบุหรี่ใส่บ้านพักในเขตบางกะปิ ส่งผลให้ลูกสาวคนโตมีปัญหากับระบบทางเดินหายใจ

แต่นายวิวิทย์วิน เตียสวัสดิ์ วัย 42 ปี ต้องออกมาร้องเรียนอีกครั้ง

ได้ป้ายเขตปลอดบุหรี่มาติดหน้าทางเข้าบ้านก็จริง

แต่ปัญหาควันพิษจากสิงห์อมควันจากข้างบ้านยังตามรังควาน

เปลี่ยนจากชั้นล่างไปสูบชั้น 2 ควันบุหรี่จึงลอยเข้าบ้านเต็มๆ

กลัวว่าลูกสาวคนกลางและคนเล็กจะเจอควันพิษเล่นงานไปด้วย



คุณพ่อของลูกสาว 3 คน วัย 42 ปี ภรรยาเป็นพยาบาลอยู่ร.พ.ศิครินทร์ ย่านบางนา

จบมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ

ปัจจุบันประกอบอาชีพขายของเก่าอยู่ย่านบางกะปิ อาทิ รถจักรยาน โต๊ะ เก้าอี้ ของสะสมต่างๆ

ลูกสาวคนโตวัย 12 ปีมีปัญหาควันบุหรี่เล่นงานจนล้มป่วยบ่อยครั้ง

เดินหน้าร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมานานร่วมปี ทั้งยื่นเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานเขตบางกะปิ รวมถึงฝ่ายกฎหมาย โรงงานยาสูบ

ไปยื่นเรื่องที่กรุงเทพมหานคร และยื่นเรื่องร้องเรียนที่บ้านนายกรัฐมนตรี

แต่เรื่องไม่คืบหน้า

และแจ้งความในคดีร่วมกันพยายามฆ่า ตำรวจไม่รับแจ้งความ



สุดท้ายสุดทนอัดอั้น บุก"ปาอึ"เพื่อทวงถามความเป็นธรรม

ที่ได้ป้ายติดประกาศเป็นพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่

ในพื้นที่ซึ่งเป็นที่สาธารณะอันห้ามสูบบุหรี่อยู่แล้ว

แต่ควันบุหรี่ยังรม

จะให้พ่อที่รักลูกทำอย่างไร?


หน้า 6
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNakkzTURJMU13PT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB5Tnc9PQ==

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

สตรีปากีฯทนคลอดลูกในรถ หลังตำรวจปิดถนนเปิดทางให้ขบวนประธานาธิบดี


ประธานาธิบดีอาซิฟ อาลี ซาร์ดารี

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 14:48:24 น.  มติชนออนไลน์

สตรีปากีฯทนคลอดลูกในรถ หลังตำรวจปิดถนนเปิดทางให้ขบวนประธานาธิบดี

สตรีชาวปากีสถานรายหนึ่งจำเป็นต้องคลอดลูกกลางท้องถนนที่ติดขัด เพื่อเปิดทางให้ขบวนรถของประธานาธิบดีอาซิฟ อาลี ซาร์ดารี สามารถเดินทางไปได้โดยสะดวก


สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สตรีรายนี้ถูกนำขึ้นรถยนต์ส่วนตัวเพื่อเดินทางไปยังโรงพยาบาลในเมืองคูเอตตา เมื่อช่วงเย็นวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับทำการปิดถนนในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อเปิดทางให้แก่ขบวนรถยนต์ของประธานาธิบดีปากีสถาน


"เราร้องขอกับตำรวจว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วนฉุกเฉินแต่พวก เขากลับปฏิเสธ โดยอ้างระเบียบที่ว่าไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขับรถเคลื่อนไปได้ ตราบใดที่ขบวนรถของประธานาธิบดียังไม่ได้เดินทางผ่านไป" โมฮัมหมัด ซาฟาร์ น้องชายของสตรีโชคร้ายรายดังกล่าว ให้สัมภาษณ์และว่า "มันเป็นเรื่องชั่วร้ายเหลือทน ที่ประชาชนต้องมาทนทุกข์ทรมานอย่างไร้เหตุผล เพื่อเปิดทางให้ผู้นำรัฐบาลได้นั่งรถผ่านไปก่อน"


อย่างไรก็ตาม ซาฟาร์เปิดเผยว่าพี่สาวของตนเองและลูกน้อยที่เพิ่งคลอดมีสุขภาพที่แข็งแรงปลอดภัยดี


ทางด้านประธานาธิบดีซาร์ดารีได้ออกมาแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งออกคำสั่งให้มีการสอบสวนเรื่องราวดังกล่าว


"ช่องทางจราจรทางเลือกควรจะถูกเปิดทางไว้ เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะไม่มีประชาชนคนใดต้องทนทุกข์ทรมานในสถานการณ์ เช่นนั้น" ประธานาธิดีปากีสถานกล่าวกับสำนักข่าวเอพีพีของรัฐบาล


ทั้งนี้ กระบวนการรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้นำรัฐบาลของปากีสถานดำเนินไปอย่างเข้ม งวดกวดขัน เพื่อป้องกันการถูกลอบโจมตีจากกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง โดยขบวนรถของอดีตประธานาธิบดีเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ  ก็เคยถูกโจมตีด้วยระเบิดถึงสองครั้ง แต่มูชาร์ราฟสามารถรอดชีวิตมาได้

                                http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267170615&grpid=&catid=06

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ป.ช.ช. ตรวจสอบศาล !!!

 
ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 21:30:15 น.  มติชนออนไลน์

ป.ช.ช. ตรวจสอบศาล !!!

โดย ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ*

“ ดุลพินิจ ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัว”  หากผู้พิพากษาท่านหนึ่งต้องประหารผู้กระทำความผิดตามกฎหมายโดยไม่มีเหตุลด โทษใดๆ  แต่ท่านไม่ประหารเพราะ “กลัวบาป” หรือเพราะท่านไม่เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต ผู้พิพากษาท่านนั้นต้องลาออก เพราะท่านไม่เคารพและปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย


แต่กลับเอา “อคติส่วนตัว” มาใช้ อคติที่ว่านี้คือ “ภยาคติ”


การกลัวบาป เป็นมโนธรรมที่ดี แต่หากเกิดด้วยมิจฉาทิฐิ ก็กลับกลายเป็นภยาคติ ได้โดยไม่ต้องมีใครเอามีดมาจ่อคอหอย หรือเอา M 79 มาขู่


ผู้พิพากษาเป็นเพียงผู้ชี้กรรมเท่านั้น ท่านหาได้เป็นผู้ทำบาปหรือสร้างกรรมไม่ แต่หากทำด้วยอคติท่านจึงจะกลายเป็นผู้สร้างกรรมและต้องชดใช้กรรมที่ท่านก่อ ไว้นั้นเอง 


ดังนั้นการที่ท่านคิดว่าการชี้กรรมนั้นเป็นการทำบาปจึงเกิดจากความไม่รู้จริง เป็นโมหาคติ การกลัวบาปจึงกลายเป็นภยาคติ ด้วยเหตุนี้


การใช้ดุลพินิจที่ไม่มีหลักเกณฑ์ เพราะไม่มีเหตุผลรองรับเป็น “อำเภอใจ” (arbitariness) เป็น โมหาคติ อย่างหนึ่ง  หากทำไปเพราะเพื่อตามใจผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าศาลด้วยกัน ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายนิติบัญญัติ ก็เป็นฉันทาคติ คือตัดสินตามความพอใจของตน ใครคัดค้านโต้แย้ง ก็ลงโทษด้วยบทละเมิดอำนาจศาล หรือดูหมิ่นศาล ก็จะกลายเป็น โทสาคติ ได้


ถ้าผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจตัดสินด้วยอคติอย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 นี้ ใครจะเป็นคนชี้ว่าท่านไม่ควรเป็นผู้พิพากษาอีกต่อไป ! หรือจะรอให้ผลกรรมตกแก่ตัวท่านเองเท่านั้น


หากเป็นเช่นนั้นความเชื่อมั่นศรัทธา และความชอบธรรมในการใช้อำนาจของศาลก็จะ ลดน้อย เสื่อมทรามลงและ ค่อย ๆ ถูกกัดกร่อนบ่อนทำลายสถาบันตุลาการจนล่มสลายจากความไว้วางใจไปในที่สุด


สังคม ประเทศชาติก็จะขาดที่พึ่งแหล่งสุดท้ายไปอย่างที่ไม่มีใครจะช่วยได้


เรามีบทลงโทษผู้ที่ใช้อิทธิพลข่มขู่ คุกคาม ผู้พิพากษา แต่ผู้พิพากษาที่อยู่ใต้อิทธิพลของอคติ 4 กลับไม่มีใครลงโทษได้โดยอ้างอาศัยว่าเป็น “ดุลพินิจ”


คนเสนอทรัพย์สินให้เจ้าหน้าที่ศาล ถูกลงโทษได้ทันทีฐานละเมิดอำนาจศาล แต่คนของศาลที่รับทรัพย์สินไว้กลับไม่มีใครลงโทษ ด้วยเหตุผลร้อยแปด


สมมติว่าผู้พิพากษาท่านหนึ่งเรียกคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีมรดก หรือคดีของบริษัทจัดสรรที่ดินรายใหญ่เข้าไกล่เกลี่ยแล้วท่านเพียงกล่าวว่า


“ศาลเองก็อยากซื้อหรืออยากขายที่ดินสักแปลงหนึ่งเหมือนกัน ขอปรึกษาว่าจะทำไงดี”


หากต่อมาปรากฏว่าคดีนี้ฝ่ายที่ไม่ได้ “ให้คำแนะนำ” อันเป็นที่พอใจของศาลถูกตัดสินให้แพ้คดี ทั้งที่ข้อกฎหมายเป็นไปในทางตรงกันข้ามโดยศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาตัดสินกลับคำ พิพากษานั้นในภาย หลัง จะมีใครกลับไปพิจารณาพฤติกรรมอันไม่ชัดแจ้งดังกล่าวนี้หรือไม่ ?


คงไม่ ....  เพราะเป็น “ดุลพินิจ” ของผู้พิพากษาท่านนั้น และสามารถอุทธรณ์ ฎีกาได้อยู่แล้วกระมัง และทรัพย์สินของท่านก็ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้น !!!


หลักฐานในการใช้อคติด้านการเงินจึงไม่ปรากฏ ทั้งที่ ด้านข้อกฎหมายปรากฎชัด


นี่คือดุลพินิจที่ไม่มีใครตรวจสอบได้


ดังนั้น การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช. )จะเข้าตรวจสอบพฤติกรรม น่าสงสัยของ “ข้าราชการในตำแหน่งตุลาการ” ก็ไม่น่าจะมีอะไรขัดข้อง เป็นการช่วยกันหาข้อเท็จจริง และไม่เกี่ยวกับความเป็นอิสระของผู้พิพากษาและการทำงานของ คณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) เพราะท่านเองก็จะได้ข้อเท็จจริง

 

หากผู้เกี่ยวข้องไปร้องต่อ คณะกรรมการตุลาการเองโดยไม่มีข้อเท็จจริงประกอบ (เพราะไม่มีอำนาจไปขุดคุ้ย) ก็อาจจะโดนผู้พิพากษาที่ถูกร้องเรียนนั้นฟ้องร้องเอาฐานดูหมิ่นศาลหรือ แจ้งความเท็จต่อ ก.ต. ซึ่งก็มีกรณีเกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ และเขาก็อาจจะแพ้คดีที่เขาถูก ผู้พิพากษาฟ้องเขาในศาลที่ผู้พิพากษาท่านนั้นสังกัดอยู่ดี


หากเราจะถือหลักว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และต้องทำงานด้วยความโปร่งใส ภายใต้กฎหมาย ก็ต้องให้ ป.ป.ช. นี่แหละเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ แม้แต่ข้าราชการในตำแหน่งตุลาการ  ผมมีกฎหมายอ้างอิง 2 ฉบับ ดังนี้


ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 201  บัญญัติว่า “ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ พนักงานอัยการ ........ ฯ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือประหารชีวิต”

 
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ. 2542  มาตรา  4 บัญญัติไว้ ความว่า  “ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้

เจ้าหน้าที่ของรัฐ   หมายความว่า  ….  ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นซึ่งมีตำแหน่ง  หรือเงินเดือนประจำ  ….. หรือคณะบุคคลซึ่งใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางการปกครองของรัฐในการ ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้นในระบบราชการ  รัฐวิสาหกิจ  หรือกิจการอื่นของรัฐ  …..  
--------------   ฯลฯ  -----------------
 

 มาตรา  19  คณะกรรมการ ป.ป.ช.  มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้


 (1) ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำนวนพร้อมทั้งทำความเห็นเสนอต่อวุฒิสภาตามหมวด  5  การถอดถอนจากตำแหน่ง


 (2) ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำนวนพร้อมทั้งทำความเห็นเพื่อส่งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดี......


 (3) ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ  กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม


 (4) ตรวจสอบความถูกต้อง ....... “


ผู้เสียหาย ก็ทำได้โดยชอบตามมาตรา 84  ความว่า “ การกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ .... ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่ง หน้าที่ในการยุติธรรม ให้ผู้กล่าวหายื่นคำกล่าวหาเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของตนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ ของรัฐไม่เกินสองปี”


เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับคำกล่าวหา ….  หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดกระทำความผิดฐานทุจริตต่อ หน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการตามหมวด 4 การไต่สวนข้อเท็จจริง (มาตรา 88)   หากป.ป.ช.ไม่ทำก็จะมีความผิดได้ ป.ป.ช. จึงต้องทำ


หาก เห็นว่าการให้ผู้ถูกกล่าวหายังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอาจจะก่อความเสียหายให้ แก่ทางราชการหรือเป็นอุปสรรคในการไต่สวน คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจขอให้พักราชการผู้ถูกกล่าวหาก็ได้ ตามมาตรา 90  


คณะกรรมการตุลาการ ตามกฎหมายฉบับนี้เป็นผู้บังคับบัญชาพิจารณาความผิดทางวินัยของผู้พิพากษาเท่านั้น ตามมาตรา 92   “ในกรณีมีมูลความผิดทางวินัย เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดแล้วมีมติว่าผู้ถูกกล่าวหาผู้ ใดได้กระทำความผิดวินัย …. กรณีผู้ถูกกล่าวหาเป็นข้าราชการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ .....  ให้ประธานกรรมการส่งรายงานและเอกสาร ที่มีอยู่ พร้อมทั้งความเห็นไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการ .....  เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่าย ตุลาการ …. โดยเร็ว โดยให้ถือเอารายงานและเอกสารของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นส่วนหนึ่งของ สำนวนการสอบสวนด้วย และเมื่อดำเนินการได้ผลประการใดแล้วให้แจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบภายใน สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้มีคำสั่งลงโทษทางวินัย .... ฯ”


มาตรา 95   ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาไม่ดำเนินการ ทางวินัย ... หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าการดำเนินการทางวินัยของผู้บังคับบัญชา ... ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ….ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหา ผู้ นั้นเป็นข้าราชการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการข้า ราชการตุลาการ .... ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งความเห็นไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการ... ฯ”


ผมจึงเห็นไปว่า การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช.  นั้นทำได้และมิได้ก้าวก่ายอำนาจใคร เพราะเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนจะปรากฏต่อมาว่าใครบริสุทธิ์หรือทุจริตอย่างไรหรือไม่ ก็ให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่พบ อย่าห้ามการหาข้อเท็จจริงเลย


สำหรับเหตุการณ์ประกอบพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้เกี่ยวข้องที่ตามมา ... ทำให้ผมเกิดความกังขา ... ขอตั้งคำถาม ณ ตรงนี้อีกครั้งหนึ่งว่า


ถ้ามีเรื่องกับใคร ให้ไปพึ่งศาล


แต่ถ้ามีเรื่องกับศาลจะหันหน้าไปพึ่งใคร ?(ถ้าไม่ใช่ป.ป.ช.)


ในสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้  ศาลเป็นสิ่งเดียวที่ผมเองและประเทศชาติหวังเป็นที่พึ่งสุดท้าย หากผู้พิพากษาบางคนมุ่งทำลายสถาบันศาล ด้วยการแสดงออกไม่ว่า ด้วยโทสาคติก็ดี หรือด้วยโมหาคติ (ไม่รู้กฎหมายและขาดคุณธรรม มโนธรรมของผู้พิพากษา)

 

ผมเอง ประชาชนทั้งหลายและนักกฎหมายทั้งปวง ก็คงจะสิ้นหวัง ได้แต่ปลงอนิจจัง ทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลกันไป

*******

*หมายเหตุ-นิติศาสตร์ บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) และนิติศาสตร์มหาบัณฑิต  (สาขากฎหมายอาญา  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เนติบัณฑิตไทย, LL.M. (University of Pennsylvania), ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางกฎหมายอาญา (D.E.A. de sciences criminelles), ปริญญาเอกเกียรตินิยมทางกฎหมายอาญา (l’ Universit? de Nancy 2); Doctorat en droit p?nal, mention tr?s honorables (l’ Universit? de Nancy 2),  รองศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267010623&grpid=&catid=02

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon