อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Bookmark and Share
Bookmark and Share

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

5 พรรคร่วมทิ้ง "ปชป." ในกองทัพ แตะมือ-รับสัญญาณ "ทักษิณ"

วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4195  ประชาชาติธุรกิจ


5 พรรคร่วมทิ้ง "ปชป." ในกองทัพ แตะมือ-รับสัญญาณ "ทักษิณ"


วิเคราะห์




หากรัฐบาลเกิดอุบัติเหตุต้อง "ยุบสภา" เลือกตั้งใหม่ โดยไม่มีโอกาสแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550

พรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นพรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก ต้องตกที่นั่งลำบาก

ทางหนึ่งอาจโดนปิดล้อมจาก พรรคใหญ่ประชาธิปัตย์ ในเขตภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร

ทาง หนึ่งโดนปิดประตู-ตีกัน-ผลักดัน จากพรรคที่มีภาพทรงอิทธิพลในอีสาน-เหนือ มี ส.ส.คาสภาผู้แทนราษฎร มากที่สุดถึง 183 คน จากพรรคเพื่อไทย

พรรคที่เป็นพรรคขนาดกลาง อาจ เล็กลง ได้จำนวนส.ส.เข้าสภาน้อยลง

ไม่ต้องนับพรรคขนาดเล็ก ที่ต้องหนีตายจากพรรคใหญ่ และหลบกระแสความนิยม "ทักษิณ" ในพรรคเพื่อไทย ทั่วทุกเขตเลือกตั้ง

การ ปรับตัวของบรรดา พรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก จึงต้อง "รุก" ให้เปิดสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่พายุใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมาถึง

ความพยายามของ "บรรหาร ศิลปอาชา" แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ลงทุน-ลงแรง เป็น "หัวหอก" ในการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ จึงเป็นทางออกหนึ่ง ที่จะก้าวพ้นจาก "กับดัก" เขตเลือกตั้งแบบ "เขตใหญ่เรียงเบอร์"

ในขบวนของ "บรรหาร" จึงมี "เนวิน ชิดชอบ-สมศักดิ์ เทพสุทิน" หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน แกนนำพรรคขนาดกลาง "ภูมิใจไทย"

ไม่ต้องนับพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ต้องเกาะขบวนพรรคร่วม เพื่อโหนกระแส "เขตเดียว-เบอร์เดียว" มาตั้งแต่ต้นขบวน

เช่น เดียวกับพรรคขนาดเล็ก-เก่า-แก่ อย่างพรรคกิจสังคม ที่มีส.ส.คาสภา 5 คน อยู่ในโควตาเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1 ตำแหน่ง ที่ต้องร่วมวง-ดิ้นหนี จากระบบเลือกตั้งแบบเดิม

ไม่ต้อง นับ พรรครวมใจชาติพัฒนา ของ ผู้ยิ่งใหญ่-โคราช "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ที่เพิ่งจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2553 ภายใต้ร่มเงาหัวหน้าพรรค น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ที่เป็น "ตัวหลัก" ในการผนึกกำลังกับพรรคขนาดกลาง เพื่อรอดพ้นจากการเข้าโจมตีจากพรรคเพื่อไทย

ประสบการณ์ร่วมทุกข์ -ร่วมสุข ของบรรดา 5 พรรคร่วมรัฐบาล ในขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงออกดอก-ออกหนาม เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ โดนมรสุมโลหิต จากม็อบ "เพื่อไทย-เสื้อแดง" ที่รุกประชิดให้ "ยุบสภา"

ดังนั้น เมื่อพรรคใหญ่-กับพรรคใหญ่ 2 พรรค ทำสงครามครั้งสุดท้าย ผ่านสงครามตัวแทน "เสื้อแดง" บรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนจึงหลบฝังตัวอยู่ "ใต้ดิน" บางส่วน "ข้ามฟ้า" ไปหลบร้อนในต่างประเทศ

แม้ว่า "ทักษิณ ชินวัตร" จะเล่นเกม ส่งสัญญาณข้ามฟ้า เข้าถึงตัวแกนนำ พรรคร่วมรัฐบาล แบบเรียงชื่อ-เรียงตัว ให้ 5 พรรค-พลิกขั้ว-ถอนตัว

ชื่อ สมศักดิ เทพสุทิน-บรรหาร ศิลปอาชา-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ-ชัย ชิดชอบ จึงถูก "ทักษิณ" เรียกหา เพื่อให้องค์ประกอบของ "รัฐบาล" ทั้งพรรคภูมิใจไทย- ชาติไทยพัฒนา-เพื่อแผ่นดิน-รวมใจไทยชาติพัฒนาและกิจสังคม โดดเดี่ยว "พรรคประชาธิปัตย์"

บรรดา "แกนนำ-ตัวจริง" ทิ้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ ไว้ในกองทัพ ปฏิบัติการอยู่ใน ศูนย์บัญชาการ รักษาความสงบ "ศอ.รส." ในพื้นที่ของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) อย่างไม่ไยดี

ทุกพรรคร่วม ไม่มีพรรคใด กล้าปริปาก เรื่อง "เปลี่ยนขั้ว"

ทั้งไม่กล้าทิ้งประชาธิปัตย์ ทั้งไม่อยากปฏิเสธ "ทักษิณ"

จึงไม่มีนักการเมืองคนไหนใน 5 พรรคร่วมรัฐบาล ประกาศตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับ "เสื้อแดง"

ในขณะเดียวกัน ก็ยืนระยะ ไม่ใกล้-ไม่ห่าง จากพรรคประชาธิปัตย์

แกน นำพรรคประชาธิปัตย์ จึง "เข้าใจได้-แต่ยากที่จะเชื่อ" เมื่อ "เนวิน" เลื่อนเวลาเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษ แม้ "เนวิน" จะยืนยันว่าไปชมการแข่งขันฟุตบอล

การที่ "ชวรัตน์ ชาญวีรกูล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรรมการใหญ่-ตัวหลัก ในคณะรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ไม่เคยปรากฏตัวที่ "ศอ.รส." จึงเป็นเรื่อง ที่แกนนำประชาธิปัตย์ ลอบมองอย่าง คลางแคลงใจ

ทั้งๆ ที่ การกำกับกระทรวงมหาดไทย-ผู้ว่าราชการจังหวัด-องค์การปกครองทั่วประเทศ จะอยู่ในมือ "ภูมิใจไทย" แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเสนอ ในการร่วมคิด-ร่วมแก้ปัญหา "ม็อบแดง" ที่ผุดทั่ว ทุกหัวเมือง

ระหว่างที่ประชาธิปัตย์กำลัง ชุลมุน กับ "ม็อบแดง" หลังฉากการต่อสู้ กลับมีเสียงเรียกโทรศัพท์ "สายตรง" จาก "ทักษิณ" ถึงแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อดึงตัว "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" ให้พ้นตัว "บรรหาร" พร้อมข้อเสนอกลางหน้าแล้ง-ร้อน ด้วยการเปิดตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" นอกทำเนียบ

เสียงคำ "ทาบทาม" ถูกกระจายเสียง-กึกก้อง ทั่วทั้งพรรคชาติไทยพัฒนา หางเสียงทอดไปถึงพรรคประชาธิปัตย์

จึง มีเสียงสะท้อนกลับ-มีนัยยะ "พรรคชาติไทยพัฒนายังรักษาสัจจะ คือ จับมือร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ยังไม่มีความคิดเปลี่ยนขั้ว...ตอนนี้"

การชิงลงมือของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่แตะมือไว้กับพรรคใหญ่ 2 พรรค แสดงความเป็น "ตัวแปร" สำคัญ ในกระดานการเมือง ยิ่งทำให้ "เสธ.หนั่น-บรรหาร" ปั่นราคา-ค่างวดของพรรค ได้สูงลิ่ว

ทั้งหมดไม่ พลาดสายตา ไปจากพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีทั้ง ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี- นายพินิจ จารุสมบัติ -นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ที่ทอด-สอดมอง ข้ามน้ำ-ข้ามแผ่นดิน มาจากประเทศญี่ปุ่น

หลังจากเคยลักลอบ-ลัดเลาะ ไปนัดพบหารือปัญหาการเมืองกับ "สุวัจน์-รวมใจไทยชาติพัฒนา" ที่ฮ่องกง มาแล้วหลายวาระ

ส่วน พรรคกิจสังคม ของ "สุวิทย์ คุณกิตติ" ก็มีอันต้องติดภารกิจที่ประเทศฝรั่งเศส อย่างไม่อาจเลี่ยง ช่วงม็อบแดง-กระจาย จึงไม่มีใครเห็น "สุวิทย์" อยู่ในฐานบัญชาการของฝ่ายรัฐบาล

ยามวิกฤติของรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ จึงโดดเดี่ยว แต่อบอุ่นอยู่ท่ามกลางนายพลแห่งกองทัพไทย

ฝ่ายรัฐบาลจึงมีเพียง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" และแน่นหนาไปด้วยเครือข่าย ใน 4 เหล่าทัพ

และ ยังมีทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ดังนั้น คำยืนยัน ไม่ยุบ-ไม่ถอย พร้อมจะเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินต่อไปและจะเปิดโต๊ะเจรจา ของ "อภิสิทธิ์" จึงมี น้ำหนัก-หนาแน่น ไปด้วย มวลของ "ทหาร" แต่มวลแนวร่วมของ 5 พรรคร่วมนั้น แสนจืดจาง-เบาบาง

แม้บางพรรคจะพยายามส่งสัญญาณต่อ สาธารณะ ในท่วงทำนองว่า "ยังคงเหนียวแน่นกับประชาธิปัตย์ต่อไป" แม้มีทางเลือก อย่างลับๆ กับแกนนำใน "เครือข่ายทักษิณ"

ช่วงจังหวะ ทางการเมืองที่ร้อน-แล้ง เช่นนี้ การทิ้ง พรรคประชาธิปัตย์ ไว้กลางกองทัพ จึงเป็นทางเลือก-ทางลง ของ 5 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ปลอดภัยที่สุด


หน้า 35

http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02pol03250353&sectionid=0202&day=2010-03-25

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

บุกจับหลวงจีนล่วงละเมิดเณร โรงเรียนวัดโพธิทัตราชวิทยาลัย ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี


วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7058 ข่าวสดรายวัน


บุกจับหลวงจีนล่วงละเมิดเณร




เมื่อ เวลา 09.00 น. วันที่ 26 มี.ค. ที่โรงเรียนวัดโพธิทัตราชวิทยาลัย ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พ.ต.ท.ชูศักดิ์ เคทอง หัวหน้าชุด กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) พร้อมคณะ ได้นำหมายศาลอาญามาควบคุมตัวหลวงจีนธรรมนาทจีนประพันธ์ ฉายา เย็นเกา หรือ ซือหู เจ้าสำนักโรงเรียนวัดโพธิทัตราชวิทยาลัย ขึ้นรถตู้ พร้อมนำตัวเข้าไปยังปคม.ที่กทม.เพื่อทำการสอบสวน

สาเหตุที่ควบคุมตัว ในครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ปกครองของสามเณร ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ที่มาเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดดังกล่าว เข้ามาร้องเรียนว่ามีพระภิกษุจีนได้ล่วงละเมิดทางเพศลูกศิษย์ที่เป็นสามเณร ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ชุดปคม. จึงได้รวบรวมข้อมูลหลักฐาน และขอหมายศาล เพื่อเข้ามาควบคุมตัวไปสอบสวนดำเนินคดี

พ.ต.ท.ชูศักดิ์เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้ตั้งข้อหา การกระทำผิดฐาน
1.ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้
2.กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาหรือสามีของตน ที่เป็นศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล ผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการ หรือผู้อยู่ในความปกครอง โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
3.กระทำอนาจารแก่บุคคลที่เป็นศิษย์ ที่อยู่ในความดูแล ผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการ หรือผู้อยู่ในความปกครอง อายุไม่เกิน 15 ปี โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และ
4.กระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงต้องควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ด้านนาย เลิศพิชัย วัชระพิทักษ์กุล อดีตเจ้าหน้าที่มูลนิธิเด็ก และได้ติดตามเรื่องนี้มาตลอด กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว มีผู้ปกครองของเณรได้เข้าร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคม.และเข้าแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.ศรีราชาแต่ต้องใช้ระยะเวลาในการติดตามสืบสวนเป็นเวลานาน ช่วงแรกนึกว่าเรื่องนี้ได้เงียบหายไปแล้ว แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ปคม.เข้ามาดำเนินการควบคุมตัวดำเนินคดี แสดงได้ว่าเจ้าหน้าที่มีข้อมูลหลักฐานจริง


หน้า 15
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01EVXdOakkzTURNMU13PT0=&sectionid=TURNek5RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB5Tnc9PQ==
--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

เมื่อ "วรเจตน์" จุดไฟในสายลมว่าด้วยศาลฎีกา อ.สมเกียรติ ท่านปรีดี และชะตากรรมของ 5 อาจารย์



วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:12:21 น.  มติชนออนไลน์

เมื่อ "วรเจตน์" จุดไฟในสายลมว่าด้วยศาลฎีกา อ.สมเกียรติ ท่านปรีดี และชะตากรรมของ 5 อาจารย์

จาก เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ

ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์บ่อยนัก ยิ่งบรรยากาศการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อาจารย์วรเจตน์ ยิ่งหรี่เสียงตัวเองลงไปเรื่อยๆ แต่นัดนี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ยิงคำถามสำคัญ แบบไม่เกรงใจ เพราะมีคนนินทาว่า บทวิเคราะห์ของ 5 อาจารย์ เอื้อ"ทักษิณ"แบบสุด ๆ


26 ก.พ. ศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษา คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน ใช้เวลาอ่านคำพิพากษา 187 หน้า  7 ชั่วโมง  หลัง คำพิพากษา แพร่ออกไป คนส่วนใหญ่ เชื่อว่า ทักษิณ สงสัยจะทุจริตเชิงนโยบายจริงๆ แต่ อาจารย์ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และพวก รวม 5 คนจาก สำนักท่าพระจันทร์ ไม่เชื่อเช่นนั้น พวกเขา ออกบทวิเคราะห์ 32 หน้ากระดาษ ซึ่งคาดว่า ทีมทนายทักษิณ น่าจะลอกเอาไปใส่ในอุทธรณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์ อาจารย์ วรเจตน์  ในหลายประเด็นที่ คนรัก"วรเจตน์" ตลอดจน คนชัง"วรเจตน์"   ก็อยากอ่าน !!!!

    
@  ผมเห็นไม่ตรงกับ อาจารย์สมเกียรติ (ตั้งกิจวานิชย์)
  

ในส่วนเนื้อหาที่ว่าเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่นั้น ช่วงที่ผ่านมาเป็นการพูดมุมเดียว ไม่มีการถามคนที่ประกอบกิจการในตลาดที่มีความรู้เรื่องนี้ว่ามุมมองเรื่อง นี้เป็นอย่างไรและวิเคราะห์รอบด้านหรือไม่  ผมเห็นไม่ตรงกับ อาจารย์สมเกียรติ (ตั้งกิจวานิชย์ )ในส่วนเรื่องการกีดกันและเอื้อประโยชน์ในส่วนโทรคมนาคม
  

เพราะดูจากตัวสัญญาระหว่างบริษัทมือถือต่างๆ ที่ทำกับรัฐวิสาหกิจของรัฐและในส่วนกฎหมายที่ออกมา วัตถุประสงค์ของภาษีสรรพสามิต ยังไม่พบว่าเป็นการกีดกันรายใหม่แต่อย่างใด เรื่องต้นทุนการประกอบกิจการก็ไม่น่าจะมีผลเป็นการกีดกัน เพราะเมื่อเปรียบเทียบรายใหม่กับรายเก่าแล้ว ต้นทุนในส่วนที่จะต้องชำระส่วนแบ่งรายได้ให้กับรัฐเมื่อเปรียบเทียบกับราย ใหม่ที่จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบวกกับภาษีสรรพสามิตด้วย ของรายเก่าก็สูงกว่าอยู่ดี
   

@ ต้องเข้าใจ โครงสร้างกิจการโทรคมนาคมแบบไทยๆ
   

อันที่จริงประเด็นเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคมมีสองเรื่อง ใหญ่ๆ คือ คือ 1 การออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตในสมัยรัฐบาลคุณทักษิณทำให้รัฐเสียประโยชน์ หรือไม่ 2 กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่ เราจะเข้าใจประเด็นเหล่านี้ไม่ได้ถ้าไม่มองภาพรวมธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศ ไทย
 
  
ปัญหาในบ้านเรามันพิสดารไม่เหมือนที่ไหนในโลก เรื่องการให้สัมปทานนั้นเกิดขึ้นก่อนที่คุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) เข้ามาเป็นนายกฯ ซึ่งปกติเวลาจะให้สัมปทาน รัฐควรจะเป็นหน่วยเดียวที่เป็นเอกภาพ แล้วให้สัมปทานเอกชนหรือให้เอกชนเข้าร่วมการงาน


แต่ของไทยเรามีรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งที่แยกกัน คือ 1) องค์การโทรศัพท์ ให้สัมปทานโทรศัพท์มือถือแก่ เอไอเอส ซึ่งเป็นรายแรกที่เข้าสู่ตลาด ในขณะที่ 2) การสื่อสารแห่งประเทศไทยให้สัมปทานโทรศัพท์มือถือกับดีแทคและ ทรูมูฟ
     

เมื่อเอไอเอสเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับองค์การโทรศัพท์ ก็ต้องจ่ายค่าสัมปทานให้องค์การโทรศัพท์ซึ่งมีโครงข่ายเป็นของตนเองและเป็น โครงข่ายหลักในประเทศ ขณะที่ดีแทคและทรูมูฟซึ่งทำสัญญากับการสื่อสารฯและต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับ การสื่อสารนั้น จะต้องเชื่อมต่อโครงข่ายขององค์การโทรศัพท์ และด้วยเหตุนี้ทั้งสองบริษัทจึงมีต้นทุนการประกอบการอีกส่วนหนึ่งซึ่งเอไอ เอสไม่มี คือ ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย ผลจากการนี้จึงทำให้ต้นทุนการประกอบการของบริษัทเหล่านี้ไม่เท่ากันตั้งแต่ แรก
    

พูดง่ายๆทำให้ ดีแทคกับทรูมูฟ มีต้นทุนสูงกว่า เพราะนอกจากจะจ่ายค่าสัมปทานให้การสื่อสารฯแล้วยังต้องจ่ายค่าเชื่อมต่อโครง ข่าย ให้กับองค์การโทรศัพท์อีกด้วย อันนี้คือประเด็นที่เป็นผลจากภาครัฐเองในแง่การให้สัมปทาน
       

ในเวลาต่อมามีการแปรรูปองค์การโทรศัพท์เป็นบริษัท ทีโอที มีการแปรรูปการสื่อสารเป็นบริษัท กสท. โทรคมนาคม ซึ่งมีการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้น และกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าในอนาคตหากมีการนำบริษัทสองบริษัทนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็จะต้องขายหุ้นให้ผู้อื่นเข้ามาถือ
   

ประเด็นคือ ตอนแปรรูปทั้ง 2 หน่วยงานให้เป็นบริษัท ทั้ง 2 หน่วยงานยังได้สืบสิทธิตามสัญญาสัมปทานเดิมต่อไป นั่นคือทั้งทีโอทีและ กสท.โทรคมนาคมยังได้ส่วนแบ่งรายได้จากการประกอบการของเอไอเอส ดีแทคและทรูมูฟไปตลอดอายุสัมปทาน ทั้งสองบริษัทสามารถที่จะนำเงินส่วนแบ่งไปใช้จ่ายได้ก่อน เหลือแล้วจึงส่งกระทรวงการคลัง
      

รัฐบาลในขณะนั้นได้แก้ปัญหาดังกล่าวนี้โดยการออกพระราชกำหนดภาษีสรรพ สามิต โดยผลของการออกพระราชกำหนดดังกล่าว ประกอบกับประกาศกระทรวงการคลังและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้บริษัทเอกชนคู่สัญญาคือเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ต้องส่งมอบส่วนแบ่งรายได้ 10 เปอร์เซนต์เข้ากระทรวงการคลังโดยตรง ส่วนอีก 15 เปอร์เซ็นต์ จ่ายให้คู่สัญญาของตน คือ ทีโอที ดีแทค และทรูมูฟ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าเอไอเอส ไม่ได้จ่ายน้อยลง เพราะยังจ่าย 25 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม 
 

@ ผมไม่เห็นว่ารัฐเสียประโยชน์ หรือ เอื้อ เอไอเอส.
       

ประเด็นที่ว่ารัฐเสียประโยชน์หรือไม่นั้น ผมไม่เห็นว่าเสียประโยชน์เพราะเป็นเพียงการแก้ปัญหาสัมปทาน ในระหว่างที่ยังไม่มีการแปรรูป ส่วนเอื้อประโยชน์แก่เอไอเอส เพราะมีผลเป็นการกีดกันรายใหม่หรือไม่นั้น ถ้าสมมติว่าภาษีสรรพสามิต 10 เปอร์เซ็นต์นี้ยังอยู่ ถามว่า จะเป็นการกีดกันรายใหม่เข้าสู่ตลาดหรือไม่ ซึ่งเราต้องเข้าใจว่ารายใหม่ที่เข้าสู่ตลาด จะไม่สามารถเข้าทำสัญญากับหน่วยงานรัฐได้อีกแล้ว เพราะไม่มีองค์การโทรศัพท์และการสื่อสารฯ แล้ว แต่หน่วยงานทั้งสองได้กลายเป็นทีโอทีกับ กสท. โทรคมนาคมซึ่งไม่มีอำนาจให้สัมปทานอีกแล้ว  แต่จะเข้าสู่ตลาดโดยการได้รับใบอนุญาตซึ่งแม้ว่าจะมีภาษีสรรพสามิต 10 เปอร์เซ็นต์ ต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหม่ก็ยังต่ำกว่าผู้ประกอบการรายเดิมอยู่ดี
      

อำนาจในการอนุญาตให้การประกอบกิจการจะอยู่ที่องค์กรอิสระในทางปกครองที่ ตั้งขึ้นใหม่ คือ กทช. เมื่อรายใหม่เข้าสู่ตลาด ต้องขออนุญาตที่ กทช. ไม่ใช่ทำสัญญาสัมปทาน ซึ่งรายใหม่ จะมี ต้นทุนที่ให้กับรัฐซึ่งต่ำกว่าผู้ประกอบการรายเดิม อย่างไรก็ตามโดยที่รายใหม่ยังไม่มีฐานลูกค้า
   

ฉะนั้น ยังไม่แน่ใจจะเกิดรายใหม่ได้สักเท่าไหร่ถ้าเทียบกับสัมปทานอันเดิม
   

แต่ประเด็น อยู่ที่ว่า เราต้องทำให้สภาพ สามารถแข่งขันกันได้ แต่ถามว่าเป็นการกีดกัน หรือไม่นั้น  ผมคิดว่าไม่ อย่างน้อยดูจากต้นทุนก็ไม่ใช่การกีดกัน แต่โอกาสแย่งลูกค้าต้องไปพิสูจน์กันในทางตัวเลข
 

@อย่ามองข้าม ... มุมมองของผู้บริโภค  

 

ส่วนสาเหตุที่ยังไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาดที่ผ่านมา เป็นปัญหาจากกฎหมายโทรคมนาคม ซึ่งไม่เกี่ยวกับภาษีสรรพสามิต คือคนที่มีอำนาจออกใบอนุญาตคือ กทช. ซึ่งผมเห็นว่า กทช.มีอำนาจทำได้ แต่ยัง มีปัญหาที่นักกฎหมายจำนวนหนึ่งเถียงกันอยู่ว่า กทช. ไม่มีอำนาจ เพราะยังไม่ได้ตั้ง กสช. ประเด็นคือ รัฐเองตั้ง กสช.ไม่ได้ เมื่อไม่มี กสช. จึงไม่มีคณะกรรมการร่วมมากำหนดแผนแม่บทคลื่นความถี่แห่งชาติ ทำให้เถียงกันว่าเมื่อยังไม่มีแผนแม่บทคลื่นความถี่แห่งชาติ กทช.จะออกใบอนุญาตได้หรือไม่ ดังนั้นไม่ใช่ประเด็นเรื่องภาษีสรรพสามิต แต่เป็น ประเด็นเรื่องอำนาจ กทช.ในการออกใบอนุญาต ซึ่งเป็นปัญหาของหน่วยงานของรัฐเองหรือการบริหารงานภาครัฐ ที่คุณตั้ง กสช. ไม่ได้ ทำให้ต้องมาถกเถียงกันถึงอำนาจของ กทช.
    

ตอนที่ผมดูเรื่องโทรคมนาคม ผมมองจากมุมมองของผู้บริโภค ผมมองจากประสบการณ์ผมในการใช้โทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์บ้าน เมื่อก่อนนี้ยากเย็นมากในการขอเบอร์โทรศัพท์บ้าน แต่ต้องยอมรับว่าระบบตอนนี้มันดีขึ้นมากเลยเมื่อให้เอกชนเข้ามาลงทุนและยิ่ง ดีขึ้นเมื่อมีการแข่งขันกัน แต่การแข่งขันกันตอนนี้จริงๆ ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะเหตุผลเรื่องโครงสร้างระบบของรัฐมันยังไม่ดี แต่ดีกว่าให้รัฐกุมอำนาจผูกขาดแล้วบริหารกันไปในองค์การโทรศัพท์ เพราะโดยโครงสร้างของตัวระบบรัฐต้องสนับสนุนเงินลงทุน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงให้เอกชนเข้ามาลงทุน เข้ามาทำสัญญา แล้วมันจะส่งผลทำให้เกิดการแข่งขันกัน โทรศัพท์ก็เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
     

ประเด็นคือ บริษัทพวกนี้จะได้กำไรจากการประกอบการ ซึ่งบริษัทในโลกนี้ทุกบริษัท เวลาประกอบกิจการก็ต้องทำกำไร เป็นเรื่องปกติ เพราะจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีกำไร แต่การมุ่งหวังผลกำไรก็ต้องมุ่งหวังจากการแข่งขันกันกับคนอื่น กลไกตลาดก็จะช่วย รัฐก็ต้องดูกลไกตลาดต้องสร้างความสมดุล แต่ไม่ใช่ไปจัดการทุกเรื่องหรือไปคุมจนกลไกตลาดมันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งอันนี้ต้องดูให้รอบด้านและดูจากมุมมองผู้บริโภคด้วย ซึ่งคนบริโภคเขามุ่งหวังประสิทธิภาพจากการบริการ และค่าบริการที่ต่ำที่สุด ทีนี้วันนี้เงินค่าสัมปทานส่วนหนึ่งต้องส่งเข้าทีโอทีหรือ ทศท.โทรคมนาคม เพื่ออะไร
   

@ ถ้าคุณจะเก็บภาษีจากตรงนี้ คุณเก็บเข้าคลังไป(เถอะ)
    

ถ้าคุณจะเก็บภาษีจากตรงนี้ คุณเก็บเข้าคลังไปเถอะ (ผมไม่มีปัญหาอะไรเลยนะ)    แล้วคุณปล่อยให้ TOT กับ CAT  (กสท.โทรคมนาคม) แข่งกันกับคนอื่นเขาอย่างเต็มที่ มันต้องดูประสิทธิภาพการบริหารงานของหน่วยงานเหล่านี้ บัดนี้ ระยะเวลาที่จะผูกขาดโดยรัฐมันผ่านพ้นไปแล้ว
   

ผมก็เสียใจกับพนักงานที่ทำงานในองค์การโทรศัพท์กับการสื่อสาร ว่า เขาไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่มีอำนาจของรัฐอีกแล้ว เขากลายเป็นผู้ให้บริการที่ต้องแข่งกับบริษัทเอกชนรายอื่นและการแข่งขันนี้ หากมันไม่มีประสิทธิภาพ คุณแข่งสู้เขาไม่ได้คุณก็จะแก่วง ที่สุดก็ต้องออกจากตลาด ก็เหมือนกับบริษัทที่เข้าสู่ตลาด ถ้าผมจะทำธุรกิจโทรคมนาคมวันนี้ ผมต้องแข็งแรงพอที่จะแข่งขันกับเขาได้นะ ซึ่งหมายถึงผมต้องมีบริการที่ดีให้แก่คนที่เป็นผู้ใช้บริการ ต้องตั้งฐานลูกค้า ต้องมีแคมเปญต่างๆ ต้องคิดการต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งลูกค้าและการรักษาฐานลูกค้านี่คือการต่อสู้ ทางธุรกิจ
 

@  แย้งศาลฎีกาฯ กรณี pre -paid
   

กรณีการทำ pre paid ว่า เดิมทีแอคเซสชาร์จ จ่าย 200 บาทต่อเบอร์ ซึ่งดีแทคกับทรูมูฟมีภาระตรงนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมกำไรของเอไอเอสจึงเยอะ เพราะว่าต้นทุนเขาน้อยกว่า คือเป็นปัญหามาตั้งแต่แรกในการเข้าสู่ตลาดที่ไม่พร้อมกันและอันนี้จะไปโทษเอ ไอเอสก็ไม่ได้เพราะเขาเข้าสู่ตลาดโดยทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์ก่อน
    

พอตอนที่ดีแทคทำ pre-paid คือโทรศัพท์ที่ต้องจ่ายก่อน เป็นการซื้อบัตรเติมเงิน เขาก็พบว่าหากเป็นแบบนี้เขาจะประกอบกิจการนี้ไม่ได้แน่ เพราะคนใช้ pre-paid ปกติคือคนซึ่งฐานะทางเศรษฐกิจอาจจะไม่ดี เพราะอาจซื้อบัตรทีละ 50-100 บาท โดยหากเดือนไหนใช้ไม่ถึง 200 บาท เขาก็ขาดทุนแน่ๆ เพราะต้องจ่ายแอคเซสชาร์จทุกเดือน ดีแทคจึงขอแก้สัญญาขอลดราคาแอคเซสชาร์จ คุยไปคุยมาก็มีการลดให้เพื่อให้เขาแข่งขันได้
    

พอ เอไอเอส เห็นว่าดีแทคมีการขอแก้ไขได้ ก็ขอแก้ไขบ้าง แต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯบอกว่าไม่เกี่ยวกัน ซึ่งผมเห็นว่า ตรงนี้ฟังได้ ศาลบอกว่า เอไอเอสไม่มีค่าแอคเซสชาร์จ แล้วจะมาขอลดได้อย่างไร
       

ทีนี้เมื่อมันไม่เกี่ยวกัน ก็คงต้องมองว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างของเอไอเอสที่จะเริ่มกระบวนการแก้ไข สัญญา การขอแก้ไขเป็นเรื่องธุรกิจ เหตุที่เอไอเอสขอแก้เป็นคนละเรื่องกับผล แล้วในการพิจารณาเหตุให้แก้ เหตุผลที่องค์การโทรศัพท์ยอมให้แก้อาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้ามองจากมุมขององค์การโทรศัพท์ ถ้าแก้ไขแล้วรัฐไม่ได้เสียประโยชน์และผู้บริโภคได้ประโยชน์ ก็แก้ได้ คือสัญญาเป็นเรื่องแก้กันได้
    

แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่า คนไม่กล้าแก้สัญญา เพราะกลัวว่าแก้แล้วจะเป็นปัญหาไปหมด นี่เป็นปัญหาจากการบริหารราชการ เมื่อเอไอเอสขอแก้ คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์ (ทศท.) บอกว่า ถ้าจะแก้ ต้องไปลดราคาค่าบริการให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งเอไอเอส ยอมจ่ายตรงนี้น้อยลง แล้วไปลดราคาให้แก่ผู้บริโภค เขาก็ไปทำจริง มีค่าโทรลดลงช่วงหนึ่ง เพราะเอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งให้ทีโอทีลดลง เขาจึงสามารถลดราคาให้ผู้บริโภคได้ เมื่อลดราคาก็มีการแข่งขันในตลาด กลไกในตลาดก็เดิน แม้เป็นกลไกที่เอไอเอสยังได้เปรียบอยู่ เพราะเป็นผลพวงจากรัฐที่แบ่งรัฐวิสาหกิจเป็น 2 แห่ง ซึ่งไปโทษฝ่ายเอกชนไม่ได้ จะต้องดูภาพสมมติฐานปัญหาก่อน
     

ถามว่า เอไอเอสลดราคา แล้วทำให้องค์การโทรศัพท์หรือปัจจุบันคือทีโอทีเสียประโยชน์ไหม คำตอบคือ ไม่เสีย เพราะหลังจากลดไปเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์แล้วทำให้ฐานลูกค้าเอไอเอสมากขึ้น มีรายได้จากการประกอบการมากขึ้น ทำให้ส่งส่วนแบ่งรายได้ให้ทีโอทีมากขึ้น ในภาพรวมจึงได้ส่วนแบ่งรายได้มากกว่าเดิม เป็นแบบนี้ทีโอทีไม่ได้เสียประโยชน์
   

@ ศาลฎีกา อ้างวิจัย ทีดีอาร์ไอ. ?
    

 ผมดูจากน้ำหนักของศาล ในคำพิพากษา ศาลให้น้ำหนักกับประเด็นของ อาจารย์สมเกียรติ อ้าง"อาจารย์สมเกียรติ"  และบอกว่าอาจารย์สมเกียรติทำวิจัยต่างๆ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับส่วนแบ่งรายได้ของทีโอทีในคำพิพากษา นี่เป็น fact นี่เราไม่ได้เถียงเรื่องข้อเท็จจริงเลยนะครับ เพราะข้อเท็จจริงตรงกัน ศาลเองก็ยอมรับว่าทีโอทีได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ศาลก็บอกว่า เมื่อทีโอทีได้ประโยชน์มากขึ้น ทำให้เอไอเอสก็ได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย ลูกค้าก็มากขึ้น ซึ่งความจริงแล้วการที่ลูกค้ามากขึ้นเป็นเรื่องปกติในทางธุรกิจของตลาด และการขยายตัวของโทรคมนาคมยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว เป็นจุดที่คนยังต้องการใช้ไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่การแก้ไขดังกล่าวทีดอทีไม่ได้เสียประโยชน์มิหนำซ้ำได้ประโยชน์มากขึ้น เอไอเอสก็ได้ประโยชน์ และผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ด้วย เพราะราคาค่าโทรศัพท์ถูกลง

   
@   วรเจตน์  มองไม่เห็นอำนาจเบ็ดเสร็จของทักษิณ (หรือ) ???

  
ผมคิดว่าความคิดแบบนี้อันตราย ถ้าเราใช้ "ความเชื่อ" ลงโทษคน จะเกิดอะไรขึ้น เช่น เชื่อว่าคนขี้ยาฆ่าข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ความจริงเขาอาจจะไม่ได้ทำ แต่คนเชื่อว่ามันฆ่าข่มขืนก็ให้ประหารชีวิตมันไป

 
ผมเชื่อในหลักการ และอยากจะบอกแบบนี้ว่า ภายใต้การต่อสู้ทางการเมืองที่มีกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองจำนวนมากเข้า ร่วมวงต่อสู้ กลุ่มผลประโยชน์ทุกกลุ่มต่างต้องการช่วงชิงชัยชนะให้กับตัวเอง การต่อสู้ก็มีวิธีการหลายวิธี เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ การให้ข้อมูลด้านเดียว การให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน  ต่างๆ เหล่านี้ทำกันมา คนคนหนึ่งอาจจะทำ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ผลของการโฆษณาชวนเชื่ออาจจะทำให้คนเชื่อว่าไอ้หมอนี่ทำ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ความเชื่อนั้นใช้ไม่ได้ในทางกฎหมาย ถ้าคุณจะเชื่ออย่างไรนั้นก็ว่ากันทางการเมือง

 
ถ้าคุณอยากจะยึดทรัพย์คุณทักษิณ คุณรัฐประหารล้มเขาแล้ว คุณออกประกาศยึดไปเลย ส่วนในอนาคตถ้าเขาจะกลับมาจะนิรโทษกรรมอะไร ก็เป็นเรื่องในอนาคตข้างหน้า แต่ถ้าจะใช้กระบวนการทางกฎหมาย ก็ต้องมีเหตุผล

 
ผมกำลังจะบอกว่า เรากำลังเอา 2 เรื่อง มาปนกัน เพราะการรัฐประหาร มันเป็นเรื่องอำนาจ เป็นเรื่องปืน รถถัง มันเถื่อนเพราะมันไม่จำเป็นต้องให้เหตุผล แต่กระบวนการยุติธรรม กระบวนการตามกฎหมาย มันใช้เหตุผล มันมีหลัก ใช้ความเชื่อไม่ได้ ถ้าไม่อย่างงั้น ก็ไม่ต้องเรียนวิชานิติศาสตร์ ไม่อย่างงั้นผมก็ไปเรียนวิชายิงปืนสิ ผมจะมาเรียนกฎหมายทำไม และถ้าผมเชื่อว่าใครทำผิดผมก็ยิงมันเลย ถ้ามันชั่วนัก


ผมจะบอกว่าทั้ง 2 อย่างนี้ มันเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันไปด้วยกันไม่ได้ และถ้าเอามาผสมกันมันจะสร้างความเสื่อมให้กับตัวระบบ ที่เราสร้างขึ้น 


เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะทำอะไร คุณก็ทำไปสิ ตั้งแต่ตอนที่คุณมีปืน ที่คุณคิดว่าทำด้วยความหวังดี ทั้งๆที่การรัฐประหารมันเป็นความเถื่อน แต่คุณคิดว่าต้องทำเพราะว่าไอ้ระบบธรรมดามันใช้ไม่ได้ คุณก็ให้เหตุผลไป ผมจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเป็นเรื่องของผม แต่เมื่อเข้าสู่กลไกทางกฎหมาย เกิดระบบรัฐธรรมนูญ คุณต้องทำตามหลัก จะเอาความเชื่อมาใช้ไม่ได้ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าที่เราเชื่อนั้นเป็นความเชื่อที่ถูก ความเชื่อต้องประกอบด้วยเหตุด้วยผลที่พิสูจน์ได้ นี่เราอยู่ในยุคของการพิสูจน์ยุคของเหตุผลนะครับ หรือว่าผมเข้าใจผิด ที่จริงแล้ว เราไม่ได้อยู่ในยุคของเหตุผล

 
@ จุดยืนของ 5 อาจารย์คณะนิติศาสตร์
  

อาจารย์ทั้ง 5 ต้องการปกป้องหลักการ ในตอนท้ายของบทวิเคราะห์ฯ ฉบับเต็ม เราเขียนว่า "คณาจารย์ทั้งห้ายืนยันว่า ความเห็นต่างของเราเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไม่ยอมรับรัฐประหาร หลักการเคารพกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม หลักดุลยภาพแห่งอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายตุลาการ หลักความมั่นคงแห่งนิติฐานะและคุ้มครองความเชื่อถือไว้วางใจต่อการดำรงอยู่ ของกฎหมาย หลักการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ซึ่งหลักการทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งในนิติรัฐ-ประชาธิปไตย และคณาจารย์ทั้งห้ายืนยันที่ปกป้องหลักการทั้งหลายเหล่านี้อย่างสุดกำลัง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ"
  

คำตอบอยู่ตรงนี้ อยู่ในย่อหน้าสุดท้ายของบทวิเคราะห์ นี่คือสิ่งที่เราทำ เราต้องการปกป้องตรงนี้ ทีนี้ก็มีคนมอง เช่น อาจารย์คณะผมบางคนเคยเขียนว่าเป็นองครักษ์พิทักษ์ปลวกหรือไง หรืออะไรสักอย่าง  ผมมองว่าคนที่พูดแบบนี้ คือไม่เข้าใจ ในทางตรรกะคือแยกไม่ออกระหว่างความต้องการส่วนตัวของตนหรือรสนิยมทางการ เมืองของตน ความชอบความชังของตนกับหลักการในทางกฎหมาย การรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณในทางวิชาชีพกฎหมาย ความเป็นมืออาชีพ ความคิดอย่างนี้คือเอาความต้องการของตนเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาหลักการเป็นใหญ่  สังคมในยุคนี้จึงเป็นอย่างนี้


@  สังคมไทย แห้งแล้งความรู้
    

ชุมชนในอินเตอร์เน็ต ที่ด่าผม จริงๆ ผมฟังแล้วก็นึกสังเวชใจอยู่ว่าไม่ค่อยหาความรู้ คือสังคมไทย มันแห้งแล้งความรู้นะ มันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความเชื่อ อคติ ความเห็น โดยไม่มีฐานของความรู้เลย คือเรื่องบางเรื่อง เราอย่าเพิ่งไปพูดถ้าเราไม่รู้จริงหรือเรายังไม่ได้เข้าไปดูในเนื้อหา
  

เราอาจจะพูดได้ ว่าเรื่องนี้เราไม่ชอบนายกรัฐมนตรีที่มีความพัวพันในเรื่องนี้ เราไม่ชอบเขา เราไม่เลือก การตัดสินใจทางการเมืองโดยผ่านการเลือกตั้ง ผมเคารพคะแนนเสียงของประชาชน ไม่มีปัญหา แต่ผมกำลังจะบอกว่าบัดนี้เป็นเรื่องกฎหมาย ซึ่งกฎหมายเป็นเรื่องเหตุผล
  

ทีนี้มีคนบอกว่า แล้วศาลฎีกาฯ ตัดสิน คุณไม่เชื่อศาลเหรอ ผมคิดว่า ผมจะเชื่อศาลก็ต่อเมื่อผมอ่าน ตรรกะต่างๆ ซึ่งจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ใช่เรื่องอำนาจที่จะมาบังคับให้ผมเชื่อ อำนาจไม่สามารถทำให้คนเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่สามารถทำให้คนรักหรือบูชา ทำไม่ได้ทั้งสิ้น
    

ผมต้องดูเหตุผล แล้วถามว่าความผิดพลาดมันมีไหม ขอให้นึกถึงคดีเชอรี่แอน ความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมมันเกิดขึ้นได้เสมอ เกิดขึ้นได้หลายลักษณะ  อันนี้ไม่ได้พูดถึงในคดีนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าไปพูดถึงคดีนี้ แต่นึกถึงภาพรวมทั้งหมด กระบวนการยุติธรรมในช่วงเวลาหนึ่งภายใต้กระแสความคิดความเชื่อของคนใน สังคมอย่างหนึ่ง มันเป็นอย่างหนึ่ง นึกถึงสมัยกลางภายใต้ความคิดของศาสนจักร มันเป็นอย่างไร มนุษยชาติผ่านตรงนั้นมาแล้ว เราจึงใช้เหตุผล คุณค่าสูงสุดจึงเป็นคุณค่าที่เราเขียนเอาไว้ในย่อหน้าสุดท้ายของบทวิเคราะห์ ฉบับเต็ม ใครที่บอกว่าเราไปพิทักษ์อะไรแสดงว่ายังมองไม่เห็นคุณค่านั้น บางคนยังมองไม่เห็นเพราะใช้ความเชื่อของตัวเองเป็นใหญ่ อคติเต็มหัว
 

@ อภิสิทธิ์ อ้างว่าที่มารัฐบาลถูกต้อง เหมือน สมัครและสมชาย
   

มีคนบอกว่าถ้าคนเสื้อแดงจะค้านก็ค้านรัฐบาลสมัครกับสมชายด้วยสิ เพราะเป็นผลพวงของรัฐประหารเหมือนกัน คราวนี้ทำไมไม่แยกแยะ ละครับคราวนี้มองแต่รูปแบบแต่ ไม่ได้มองเนื้อของเรื่องว่ามายังไง
   

ผมว่าเรื่องนี้นี่พูดก็พูดไม่ต้องเกรงใจ คุณอภิสิทธิ์ รู้ตัวดีที่สุด ว่าตัวเองมายังไง ถามใจคุณอภิสิทธิ์ ในใจคุณอภิสิทธิ์เองว่า รัฐบาลนี้เกิดขึ้นยังไงแบบแฟร์ๆ ไม่ต้องพูดถึงกรณีที่สื่อลงข่าวกันว่าตั้งรัฐบาลกันที่ไหน แต่ผมถามว่าถ้าไม่มีการยุบพรรคพลังประชาชน จะเกิดรัฐบาลนี้ขึ้นได้ไหม
  

ถามว่ากระบวนการพิสูจน์ว่าพรรคพลังประชาชนทุจริตการเลือกตั้ง มีกระบวนการอย่างไร แล้วกลไกรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่นั้นมันเป็นธรรมไหม ที่คนคนเดียวทำผิดแล้วยุบพรรค รวมทั้งตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคที่ไม่เกี่ยวข้อง มันเกิดจากหลักเกณฑ์ที่ยุติธรรมไหม
    

ถามว่า คดีที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ 2-3 เรื่อง มันเป็นอย่างไร มันช้ามันเร็วอย่างไร นี่มีคนบอกว่าเขากำลังทำอยู่ รวมทั้งอธิการบดีของผมก็บอกว่ากำลังนี่เขากำลังทำอยู่ ช้าหน่อยไม่เป็นไร แต่ผมมองว่ากระบวนการทั้ง 2 กระบวนการ อันหนึ่งแล่นอย่างกับรถด่วน แต่อีกกระบวนการหนึ่งไปอย่างกับซาเล้ง ถ้าคุณทำใจเป็นกลางๆ ประเด็นนี้ที่เสื้อแดงพูดว่า 2 มาตรฐาน ก็เป็นเรื่องเห็นๆกันอยู่จะปฏิเสธยังไง
    

ลองสมมติแบบไม่ดูหน้าคนสิ ลองสมมติแบบนายเอ นายบี มีเพื่อนผมสอนกฎหมายมหาชน เวลาสอนไม่บอกว่าหมายถึงใครแต่ตั้งเป็นปัญหาตุ๊กตาสมมติ ลอยๆ ขึ้นมาแล้วถามนักศึกษา ปรากฏว่านักศึกษา บอกว่ามันไม่ได้ ไม่ถูกต้อง อย่างงั้นอย่างงี้ มันผิดหลักหมด พอเฉลยมาก็อึ้งกันหมด  บอกว่าคนที่ทำอย่างนี้คือ.... ก็อึ้งกันหมด คือไปกันไม่ถูก เพราะคิดถึงหน้าคนอยู่ตลอดเวลาในการตัดสิน ไม่ได้คิดถึงระบบเรื่องหลัก
   

ถึงบอกว่า คุณ เทียบไม่ได้เลย การเลือกตั้ง 23 ธ.ค. เป็นการเลือกตั้งภายใต้ร่มเงาของรัฐประหารอยู่ รัฐบาลมาจาก คมช. ส่วน กกต. ก็มาจากผลพวงของการรัฐประหาร แม้ว่าจะตั้งจากคนที่ศาลฎีกาเลือกมา แต่ภายใต้บริบทต่างๆ เราจะเห็นได้ว่ากลิ่นอายบรรยากาศของรัฐประหาร มันยังอยู่ ภายใต้ความเสียเปรียบของพรรคพลังประชาชน นี่พูดกันแฟร์ๆ แล้วทำไมเขาได้คะแนนมาเกือบครึ่ง
  

แปลว่าคนเลือกพรรคนี้มันโง่เหรอ มันไม่ฉลาดเลย เคยเลือกพรรคไทยรักไทยมาแล้วเลือกพรรคนี้อีก มันโง่เหรอ ต้องเลือกอีกพรรคหนึ่งใช่ไหมถึงจะฉลาด ต้องเอาอย่างงั้นใช่ไหมประเทศนี้ คือถ้าเลือกพรรคนี้มันโง่ ต้องเลือกอีกพรรคหนึ่งเท่านั้นคุณถึงจะเป็นคนฉลาด ดูดีมีชาติตระกูล นี่ผมกำลังอธิบายแบบไม่ต้องมีอคติอะไร ไม่ต้องดูหน้าเลย ก็คนเขาเลือกและนี่คือการตัดสินใจทางการเมือง เสร็จแล้วมีคนบอกว่ามีเรื่องซื้อเสียง
   

ผมถามว่าการซื้อเสียงมันพิสูจน์ยังไง ก่อนรัฐประหารก็บอกว่าได้มาจากการซื้อเสียง หลังรัฐประหารแล้วไง ยังได้มาจากการซื้อเสียงภายใต้ความคุมเข้มของ กกต. อย่างงั้นเหรอ หรือเป็นเพราะคนเขาเลือกยังไงเขาก็เลือก เขาจะบอกว่าเขาเลือกอย่างนี้ ไม่สนใจว่าคนกรุงเทพฯจะบอกว่าผมโง่ จะทำไมผม มันเป็นสิทธิ์ ของผม ผลก็ออกมาเป็นอย่างงั้น เกือบครึ่ง มันก็บีบพรรคอื่น คุณบรรหาร ก็ยังบอกว่า ถ้าได้มาถึงขนาดนี้มันช่วยไม่ได้นะ เพราะถ้าไปรวมกับประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล ก็ไม่มีเสถียรภาพหรอก ซึ่งมันก็ถูกของเขา เขาถึงไปร่วมกับพรรคพลังประชาชน ต่อมาจึงมีเหตุยุบพรรค ยุบแล้วถึงแตก แล้วแตกยังไงอีกหน่อยประวัติศาสตร์ก็บอกเอง และรัฐบาลเกิดขึ้นจากตรงนี้ รัฐบาลสมัคร สมชาย เป็นผลโดยตรงมาจากการเลือกตั้ง ส่วนรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ไม่ใช่ผลโดยตรง  แต่เป็นผลจากการยุบพรรคพลังประชาชนในขณะที่มีผู้ยึดสนามบินสุวรรณภูมิอยู่
  

@ คนรักประชาธิปไตย รับไม่ได้ หรอกครับ


คุณอภิสิทธิ์ ได้รับการเลือกในสภาจริง แข่งกับ พล.ต.อ.ประชา จริง ไม่มีใครเถียง แต่ว่าการเกิด มันเกิดจากการยุบพรรคและล้มรัฐบาลไปสองรัฐบาล และเหตุผลที่ล้ม คือคุณสมัคร โดนคดีทำกับข้าว ซึ่งว่ากันตามหลักเกณฑ์ทางนิติศาสตร์แล้ว ประหลาดที่สุด ตามมาด้วยการยุบพรรคพลังประชาชนเพราะคนคนหนึ่งถูกลงโทษว่ากระทำผิดกฎหมาย เลือกตั้งแล้วก็ยุบ แล้วทำให้รัฐบาลสมชายล้ม เราจะปฏิเสธอำนาจที่มันดำรงอยู่จริง ซึ่งไม่เป็นอำนาจในระบบ มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วและนี่คือประเด็นปัญหา และเป็นคำตอบว่าทำไมเสื้อแดงถึงมีพลังในการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา มันเป็นไปไม่ได้เลยถ้าความเคลื่อนไหวไม่อยู่บน พื้นฐานของเหตุผล คนที่มีใจเป็นธรรม รักระบอบประชาธิปไตย เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เห็นแบบนี้รับไม่ได้หรอกครับ
 

@  ถ้าอาจารย์เป็นอภิสิทธิ์ จะนำสังคมออกจากความขัดแย้งได้อย่างไร


คือผมไม่ได้เป็นคุณอภิสิทธิ์ และคุณอภิสิทธิ์ ก็ไม่ใช่ผม เพราะถ้าผมเป็น... ผมจะไม่ตั้งรัฐบาลอย่างที่เกิดขึ้นอย่างนี้ คือถ้าผมเป็น ... ผมจะเป็นอีกอย่างหนึ่งเลยตั้งแต่แรก แม้ว่าผมจะเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองของคุณทักษิณก็ตาม ผมจะไม่เป็นอย่างนี้อย่างแน่นอน ยอมรับรัฐประหารไม่ได้ ผมก็จะบอกว่าไม่ได้  และก็ต่อต้านด้วย เพราะในระบอบประชาธิปไตย เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทุกพรรคการเมืองต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการจัดการกับอำนาจนอกระบบ
   

เพราะทุกพรรคการเมืองต้องคิดว่าคนที่พรรคการเมืองจะต้องรับใช้คือ ประชาชน  ไม่ใช่อื่นใดทั้งสิ้น ในระบอบนี้ต้องถือว่าประชาชนสูงสุด ดังนั้นผมสมมติตัวเองเป็นคุณอภิสิทธิ์ในเวลานี้ไม่ได้ เพราะมันจะไม่เป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก มันจะไม่มาถึงจุดแบบนี้
 

@บ้านเมืองมีทางออกไหม สถานการณ์เช่นนี้
   

ผมว่า ยากครับ ก็ผมบอกมาตั้งแต่ตอนรับรัฐธรรมนูญแล้วครับ ว่ารัฐธรรมนูญเป็นอย่างนี้มันจะสร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองร่ำไป มันไม่มีทางออก ถ้ากติกาพื้นฐานยังเป็นแบบนี้อยู่
 

@  ถ้าจะแก้ปัญหาต้องแก้รัฐธรรมนูญ
 

ใช่แต่ว่าการแก้รัฐธรรมนูญหรือที่จริงคือทำรัฐธรรมนูญใหม่มันเป็นเพียงประเด็น อันหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นส่วนสำคัญ เพราะรัฐธรรมนูญอย่างเดียวมันไม่พออยู่แล้ว และบรรดาอำนาจซึ่งไม่เข้าสู่ระบบทั้งหลายทั้งปวงต้องหยุดได้แล้ว รู้ตัวกันดีอยู่
 

@พลังในสังคมบางส่วนกำลังเคลื่อนไหว ให้สมานฉันท์ ให้ยุติความรุนแรง เชื่อพลังสังคม พวกนี้ไหม
   

พลังนี้ออกมาได้ยังไง ผมประหลาดใจมากกับพลังแบบนี้ คือ "พลังขาวเนียน" นี่พูดจริงๆ คำนี้อาจารย์พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์มั้ง ที่ใช้คำนี้ ผมชอบจริงๆ คำนี้ คือ พอเห็นว่าแบบที่เคยสู้ๆ มามันไปไม่ได้ ก็มาเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนเนียน พอเห็นแดงมาเยอะหน่อย คุณก็มาเรียกร้องสันติ อะไรกันอีกแล้ว คือ ช่างเลือกเวลาเรียกร้องกันจริงๆ
    

มันไม่ใช่ คือถ้าคุณจะพูด คุณต้องดูบริบทความเป็นมาก่อน คุณกระทืบเขา คุณจัดการกับเขาโดยกลไกที่มันเป็นปัญหา ที่สืบเนื่องมาจากรัฐประหาร พอเขามีพลังขึ้นมาบ้าง เขาสู้ขึ้นมาบ้าง คุณกลับบอกว่า เออๆๆ สันติ สมานฉันท์ อย่าใช้ความรุนแรง แล้วตอนที่คุณจัดการเขานี่ มีความรุนแรงที่ไม่ใช่ความรุนแรงทางกายภาพเนี่ย มันเป็นความรุนแรงในเชิงระบบที่คุณปฏิเสธอำนาจที่เขาเลือกตั้งของเขามา คุณทำรัฐประหาร สนับสนุนการรัฐประหารแบบอ้อมๆ เนียนๆ เขาเลือกรัฐบาลมาคุณก็ไปล้ม นี่พูดแบบแฟร์ๆ นะ เออ พูดไปพูดมากลายเป็นว่าคนมองว่าผมเป็นแดงแล้ว แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมพูดความจริง ผมพูดจากสิ่งที่ผมเห็น พูดจากหลักการ หลักการที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้ สีที่คนอื่นป้ายให้ไม่อาจทำลายหลักการตรงนี้ได้หรอก


@อาจารย์เห็นด้วยกับข้อเสนอให้ยุบสภาแล้วกลับไปเลือกตั้งหรือไม่
 

การยุบสภาไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งหมดไป แต่จะช่วยทำให้มันมีหนทางมากขึ้นในเชิงของการเจรจากันในวันข้างหน้า ในการพูดกันถึงการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ หรือการรีฟอร์มกันใหม่ เซท กันใหม่  มันเปิดทางในแง่นี้ เพราะเราต้องยอมรับว่า รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เกิดจากการไปล้ม 2 รัฐบาลแล้วเกิดการเปลี่ยนขั้ว และไม่ได้เกิดขึ้นมาจากในระบบธรรมดา แต่เกิดขึ้นมาจากการยุบแล้วบีบ แล้วเปลี่ยน
 

ไปถามคนที่เขาเปลี่ยนสิ เพราะอะไรเขาถึงเปลี่ยน พูดกันจริงๆ  คือสังคมนี้ มันพูดกันไม่สุด คือไม่พูดกันว่าทำไมคุณถึงเปลี่ยนละ มันเกิดอะไรขึ้น คุณถูกใครบีบ กล้าพูดกันไหมล่ะครับเรื่องแบบนี้ ในสังคมนี้
 

ผมว่า ปัญหาในสังคมนี้มันจะไม่หมดเลยถ้าเรายังพูดกันแบบนี้ เรายังมีเพดานอยู่ตลอดเวลาในการพูดแล้วเราก็อยู่กันตรงนี้ ที่หนักไปกว่านั้นก็คือสำหรับคนจำนวนไม่น้อยยังมีเพดานในการคิดด้วยส่วนคน ที่เห็น คนที่คิด ก็พูดกันนอกรอบไม่สามารถพูดในสาธารณะได้ เพราะมีข้อจำกัดอยู่ แล้วจะแก้ปัญหาได้ยังไง


@มีผู้เสนอว่า แก้รัฐธรรมนูญก่อน ถ้ายุบสภาตอนนี้ความขัดแย้งจะลงสู่สนามเลือกตั้ง
 

เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ถูกถ่วงมาตลอด เวลาจะแก้ที ก็มีคนบอกว่าอย่าแก้ เพราะแก้เพื่อประโยชน์พรรคการเมือง และก็มีกลุ่มพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ความจริง บางคนตอนทำรัฐธรรมนูญก็บอกว่ารับๆ ไปก่อน เคยไปดีเบทกับผม ผมยังจำได้ เขาบอกว่าสมู๊ทที่สุดคือรับไปก่อน แล้วพอรับเสร็จแล้วค่อยมาแก้
 

พอจะแก้ปุ๊บวันนี้บอกว่าแก้ไม่ได้ เพราะแก้ไปจะไปเอื้อประโยชน์นักการเมือง นี่คนพวกนี้เขาเป็นแบบนี้และเป็นคนระดับปัญญาชน คนนำสังคม แล้วจะนำสังคมได้ยังไง ในเมื่อคุณยังพูดกลับไปกลับมา ยังกลับกลอกอย่างนี้ คือผมไม่มีปัญหาเลยนะ เมื่อรัฐธรรมนูญผ่านประชามติมาแล้ว ผมก็ยอมรับว่ามันผ่าน แต่สามารถแก้ไขได้จากกฎเกณฑ์การแก้ไขที่อยู่ในรัฐธรรมนูญนั่นแหละ แต่พอจะแก้แล้วมาบอกว่าห้ามแก้ นี่มันมากไปแล้ว ผมถามหน่อยว่ารัฐธรรมนูญเป็นของคุณคนเดียวเหรอ
 

แล้วอย่าอ้างว่าแก้เพื่อผลประโยชน์พรรคการเมือง เพราะคนที่ค้านก็ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ บางคนได้ประโยชน์ไปดำรงตำแหน่งที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไปเป็น สว. สรรหาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทีตัวเองได้ประโยชน์ทำไมไม่พูด ถ้าคุณพูดเรื่องผลประโยชน์ คุณควรจะอายตัวเองบ้าง คุณพูดเรื่องหลักการสิ ว่าหลักการที่ควรจะเป็นในทางประชาธิปไตยเป็นยังไง ถ้าประโยชน์เกิดจากหลักการที่ถูกต้อง คุณต้องยอม ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่ในวังวนแบบนี้
 

ทีนี้เวลาอ้างการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน ก็จะถูกมองว่าเป็นการซื้อเวลาให้รัฐบาลแล้ว คนที่อยู่อีกฝ่ายหนึ่งจะยอมหรือ


@ ที่สุดแล้วการต่อสู้ของเสื้อแดงรอบนี้อาจกลับบ้านมือเปล่า
 

ก็เป็นไปได้ เพราะแบกน้ำหนัก เสื้อแดงชุมนุมเหมือนนักมวยขึ้นชก สู้แบบแบกน้ำหนัก คุณสู้กับใครละ


@ ข้อเสนอให้เปิดพื้นที่กลางๆ ทั้ง 2 ฝ่ายได้คุย
 

ก็เป็นไปได้นะ


@ คุยเรื่องอะไร
 

เบื้องต้น คุณอาจจะปรับเพราะกลไกระยะสั้นที่สุด เรื่องระบบเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามระบบ ก็ทำให้มันเคลียร์ ถ้าจะทำจริงๆ เดือน 2 เดือนก็เสร็จ แก้ซะตรงนี้ไปเปลาะหนึ่งก่อน จากนั้นก็ไปสู่การเลือกตั้ง แคมเปญสู้กัน แล้วรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ควรจะรีฟอร์มใหม่ไหม ทั้งฉบับ หรือไม่ก็คุยกันเรื่องเงื่อนเวลาในการยุบสภา ว่าจะยุบและจัดการเลือกตั้งภายในเวลาเท่าไหร่ นี่คือประนีประนอมที่สุดที่จะเป็นไปได้


@   มีบางคนบอกว่าคุณทักษิณควรจะหยุดเหมือน ท่านปรีดี (พนมยงค์) คือไม่ต้องกระโดดมาต่อสู้แบบนี้ คือท่านปรีดี ต่อสู้ผ่านทนายความ เวลาหมิ่นประมาทท่านก็สู้ตามกฎหมาย ท่านยินดีจะเสียสละตัวเอง ไปอยู่ต่างประเทศจนสิ้นชีวิต
 

สำหรับผม ผมนับถือท่านผู้ประศาสน์การ(ปรีดี พนมยงค์) มาก และนี่ไม่ได้พูดถึงคุณทักษิณ จะพูดถึงแต่ท่านผู้ประศาสน์การ ไม่โยงกับคุณทักษิณ
 

ผมคิดว่าท่านผู้ประศาสน์การไปอยู่เงียบๆ ในต่างประเทศนั้น อาจจะเป็นความผิดพลาดก็ได้ ผมขออภัยผู้ที่นับถือท่านผู้ประศาสน์การ ผมก็นับถือท่านผู้ประศาสน์การ และเห็นว่าท่านมีคุณูปการอย่างมากแก่สังคมไทย แต่นี่เป็นการประเมินของผม ขณะที่ท่านอาจจะมีความจำเป็นที่ต้องเป็นอย่างนั้น ซึ่งถ้าผมเห็นความจำเป็นอันนั้นของท่าน ผมอาจจะไม่ประเมินอย่างที่ประเมินก็ได้ แต่โดยเหตุที่ผมไม่เห็น ผมจึงรู้สึกว่าการที่ท่านไปอยู่ต่างประเทศเงียบๆในอีกมุมหนึ่งก็ส่งผลทำให้ ภารกิจการอภิวัฒน์ขาดช่วงไป ไม่บริบูรณ์ แต่แน่นอนถ้าคิดถึงชีวิตครอบครัวของท่าน ข้อจำกัดในการต่อสู้ คิดถึงสิ่งเหล่านี้ประกอบกันก็คงโทษท่านไม่ได้
 

สังคมไทยอาจจะมองว่าดี แต่ผมกลับมองอีกด้านว่า ในที่สุดสังคมไทยยังไม่ไปไหน บางทีบทบาทอีกมุมหนึ่งที่ท่านไม่ได้ทำ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดหลายอย่างที่ผมไม่รู้ มันอาจจะทำให้สังคมไทยไปไกลกว่านี้แล้วในเวลานี้
 

ความจริงท่านปรีดี ท่านสู้ จนถึงเกิดกบฏวังหลวง ปี 2492 นี่คือการสู้ แต่กำลังท่านไม่พอ ท่านแพ้ และแน่นอนว่าความสะเทือนใจของท่านอาจจะหลายอย่าง คนหลายๆ คนซึ่งเป็นเพื่อนร่วมต่อสู้ของท่านจบชีวิตไปในการต่อสู้ ซึ่งผมเข้าใจได้ในแง่ความเป็นมนุษย์ และท่านเลือกอย่างนั้น ผมเคารพในการตัดสินใจของท่าน
 

ท่านอาจอยากจะทำ แต่ท่านประเมินแล้วว่ากำลังไม่พอ ความจริงหลายอย่างมันจึงไปพร้อมกับตัวท่าน สังคมนี้ก็ยังกลายเป็นสังคมที่เรายังไม่พูดความจริงอย่างถึงที่สุด
 

ส่วนเรื่องของคุณทักษิณ นั้น ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันอะไรกับท่าน ผมทำในส่วนที่เป็นวิชาชีพวิชาการของผม ถ้าคุณทักษิณได้ประโยชน์จากหลักการที่ผมพูด อันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับผม แต่เราต้องไม่ลืมนะว่าบริบททางการเมืองสมัยท่านปรีดีกับคุณทักษิณแตกต่างกัน
  

ผมคิดว่าระบบมันคงจะเซทไปเอง ในทางวิชาการ เราก็ให้ความรู้จากหลักที่ถูกต้อง ไม่ได้เอาความคิดความเชื่อของตัวเท่านั้นเป็นใหญ่ ก็ใช้ความรู้ให้มาก ผมก็ยังต้องสำรวจตรวจสอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา คุยกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ดูเหตุดูผลอยู่ตลอดเวลา ชีวิตที่ไม่มีการตรวจสอบเป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่า โสเครติส บอกเอาไว้ เมื่อสักสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว
 

ผมไม่ได้สนใจตำแหน่งทางบริหาร คือผมอยากทำงานวิชาการ ฉะนั้น ผมพูดได้โดยที่ผมไม่ต้องสนใจว่าผมจะได้เป็นอะไร หรือไม่ได้เป็นอะไร วันนี้ตำแหน่งทางวิชาการ ก็ไม่ได้อยู่ในความอาลัยของผมเลย ตั้งแต่จะต้องวิวาทะกับหลายท่านในวงการนิติศาสตร์ ผมอาจจะไม่ต้องเป็นศาสตราจารย์เลยในชีวิตของผม ผมไม่มีปัญหาเลยกับเรื่องพวกนี้ ถ้าการไปอาลัยอาวรณ์ต่อตำแหน่งเหล่านั้น มันไม่สามารถทำให้เราแสดงความเห็นให้กับสังคมได้อย่างบริสุทธิ์ ได้อย่างอิสระ ก็ไม่ต้องหรอก เพราะชีวิตคนเรามันมีอะไรมากอยู่ได้อีกสักกี่ปี อีก 20 ปี ผมก็จะเกษียณ


@ อยากให้คนรุ่นหลังรู้จักอาจารย์ในฐานะอะไร
 

ก็เป็นครูสอนกฎหมาย ที่เคารพในหลักการที่สอน และทำตามที่ตัวเองเชื่อในหลักการที่สอน
 

@ วันข้างหน้าจะเล่นการเมืองไหม 
   

เราไม่รู้อนาคต มีคนถามเมื่อหลายปีก่อน ผมบอกว่าผมตอบไม่ได้หรอก เขาก็ถามว่าแสดงว่าใจก็คิดอยู่สิว่าจะเล่น เออก็แล้วแต่คนจะคิด คือเราจะไปพูดอะไรให้มันไปเป็นเรื่องฟันลงไปร้อยเปอร์เซ็นต์ยังไง เราไม่รู้ชีวิตของเราข้างหน้า ที่จะเดินไปในวันต่อๆ ไปจะเป็นยังไง ผมรู้แต่ว่าวันนี้มีความสุขในการสอนหนังสือ พอใจกับสถานภาพชีวิตที่เป็นอยู่ และใช้วิชาที่เรียนรู้มาทำงานให้สังคมเท่าที่ทำได้ ส่วนวันข้างหน้า ก็ปล่อยให้เหตุปัจจัยเป็นเครื่องกำหนดดีกว่า อย่าเอาคำตอบว่าเล่นหรือไม่เล่น ผมไม่รู้หรอก ถ้าเหตุปัจจัยเป็นอย่างนี้ ผมก็อยู่อย่างนี้ ผมไม่รู้ว่าผมจะเหมาะกับการเมืองแค่ไหน เพราะผมรักในวิชาการ มีความสุขที่ได้คิดทางวิชาการ ได้สอนหนังสือ
   

การทำบทวิเคราะห์คำพิพากษา ก็ไม่ได้ทำให้ผมได้อะไรจากการทำตรงนี้ ไม่ได้เอาไปขอปริมาณการทำงานหรือตำแหน่งทางวิชาการ เพราะนี่คือการทำเปล่า ทำด้วยใจรักเพื่อที่จะบอกกับสังคม ความจริงผมกับเพื่อนอีก 4 คนอาจจะไม่ทำเลยก็ได้ ก็รออยู่เหมือนกันว่าใครจะออกมาพูดเรื่องเนื้อหาไหม เมื่อไม่มี ผมคิดว่าจะปล่อยให้สังคมไปแบบนี้ไม่ได้


@คุณทักษิณ และ พรรคเพื่อไทย ได้ประโยชน์จากบทวิเคราะห์ 5 อาจารย์ เต็ม ๆ โดยไม่ต้องจ่ายสักบาท
 

(หัวเราะ) ก็ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องสาธารณะ
 

ถ้ามัวแต่คิดว่าใครจะได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ หรือกลัวคนจะว่าว่ารับเงิน กลัวคนว่าว่าใกล้ชิดทักษิณ กลัวคนว่าอยากดัง กลัวคนว่าว่าร้อนวิชา ก็จะทำให้เราทำอะไรไม่ได้เลย คำถามคือเวลามองตัวเองในกระจกแล้วละอายตัวเองหรือเปล่า คุณซื่อสัตย์ต่อมโนธรรมของคุณไหม คุณได้อะไรไหม คุณเป็นอย่างที่เขากล่าวหาไหม ถ้าคุณไม่เป็นก็คือไม่เป็น ถ้าเราใสเหมือนกระจกก็คือใสเหมือนกระจก
 

เรื่องแบบนี้ อย่างที่บอกว่า อาจารย์ 5 คนเนี่ย ถ้ามีนอกมีใน มันไม่กล้าทำหรอก จะเอาเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเองไปแลกทำไม แต่เพราะว่าเราไม่มีอะไรเลย เราถึงกล้า
 

ใช่ว่าจะมีอนาคตนะ 5 อาจารย์นี้(หัวเราะ) คุณวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ คุณวิจารณ์ศาลปกครองสูงสุด คุณวิจารณ์ศาลฎีกา คุณวิจารณ์ระดับ Top ของวงการนิติศาสตร์ไทย วงการกฎหมายไทย คุณจะเหลืออนาคตอะไร
 

@ อาจารย์ วรเจตน์ ห่วงอะไร
      

ตัวผมไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ ผมก็อยู่ของผมไปอย่างนี้ แต่ผมห่วงอาจารย์รุ่นน้องผมถ้ากลับมาจากต่างประเทศ คือผมนับถือน้ำใจของเขานะ แต่นี่คือทางที่ผมและเพื่อนเลือกเดิน รู้แต่ว่าเรารักในวิชา เราอยากบอกความจริงแก่สังคม บางคนบอกว่าศาลพิพากษาไปแล้วไม่ทำให้จบเหรอ แต่ผมคิดว่าสังคมควรสว่างไสวในทางปัญญา  ปัญญาจะไม่เกิดถ้าไม่มีความคิดต่าง ไม่มีการถกเถียงด้วยเหตุผล ผมหวังว่ากลุ่ม 5 อาจารย์จะเป็นพลังเล็กๆ ให้คนได้ฉุกคิด เรื่องไหนเราถูกไม่ถูกก็ว่ากันมาด้วยเหตุด้วยผล แต่เราไม่มี ไม่เคยรับผลประโยชน์ใดๆ จากใครทั้งสิ้น

 
@ อาจารย์ควรภูมิใจหรือเสียใจ ถ้าบทวิเคราะห์ 32 หน้าของอาจารย์ไปปรากฏในคำอุทธรณ์ของคุณทักษิณ เกือบหมดเลย

  
ไม่ใช่เรื่องของผม ไม่เป็นปัญหาของผมเลย นี่ผมบอกเลยนะครับ มีคนมาเล่าให้ผมฟังว่า มีการโพสต์ข้อความในอินเตอร์เน็ต ถามว่าทำไมไม่มาจ้างอาจารย์กลุ่มนี้ ...ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมไม่ได้ยุ่งกับคดีนี้ตั้งแต่แรก ไม่เคยเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่ผมทำให้กับสังคม

  
ความมุ่งหมายของผมมีอย่างเดียวคือ ผมต้องการให้สังคมเห็นอีกมุมหนึ่งซึ่งไม่มีการพูดกัน เอาความรู้มาเถียงกัน ผมไม่อยากให้สังคมถูกพัดพาไปโดยกระแสในด้านเดียว เท่านั้นเอง และผมคิดว่าความจริงคือความจริง ความรู้คือความรู้ ไม่อยากให้ใช้ความเชื่อ ไม่อยากให้ใช้อคติ พูดก็พูดเถอะ ธรรมชาติประทานสติปัญญาให้เรา ประทานสมองให้เรา เราต้องคิด ต้องใช้มันให้มาก อคติไม่ต้องใช้มากเพราะสังคมไทยใช้มาเยอะแล้ว ซึ่งที่ผมพูดมา หรือที่กลุ่มห้าอาจารย์พูด เราพูดในเชิงกฎหมาย เฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับคำพิพากษานี้ ไม่ได้สนับสนุนความชอบธรรมอะไรในทางการเมืองให้กับคุณทักษิณ เพราะคำพิพากษานี้เป็นเรื่องการขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ก็ต้องว่ากันตามเกณฑ์ทางกฎหมาย

 
เพราะเรื่องทางการเมือง ต้องประเมินอีกอย่างหนึ่ง มีเกณฑ์อีกแบบหนึ่งเป็นคนละเกณฑ์กัน แต่นี่เรากำลังจะเอา 2 เกณฑ์มาเป็นเรื่องเดียวกัน

 
ไม่ใช่เรื่องที่ผมภูมิใจหรือไม่ภูมิใจ และมีคนถามว่านี่ผมช่วยคุณทักษิณหรือ? แล้วผมเกี่ยวอะไรกับคุณทักษิณ ผมขอบอกว่า ถ้าจะดูช่วยไปดูที่เนื้อหา สังเกตไหมว่าแถลงการณ์เที่ยวนี้ เราพูดเรื่องรัฐประหารน้อยนะ ทั้งที่เป็นประเด็นใหญ่สุดเพราะเป็นต้นสายของทุกอย่างที่ตามมา หมายความว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นสืบทอดมาจากรัฐประหาร มันควรจะใช้ไม่ได้ แต่ที่พูดตรงนี้น้อย เพราะเราต้องการให้ดูเรื่องเนื้อหา เพราะมีการพูดกันว่าอย่าไปเถียงเรื่องรัฐประหารและเอาเป็นว่าถ้าเข้าสู่ระบบ ปกติมันผิดไหมอย่างไร ผมก็เลยบอกว่าคุณลืมเรื่องรัฐประหารไปเลยก็ได้ คุณเริ่มต้นอ่านจากเนื้อหาในบทวิเคราะห์ของกลุ่มห้าอาจารย์เลย ต่อให้ไม่คิดถึงเรื่องรัฐประหารด้วย ผมไม่อยากให้ทุกคนว่าประเด็นพวกนี้เป็นเรื่องเทคนิค พอเป็นเรื่องเทคนิคแล้วคิดว่ายุ่งยากซับซ้อนแล้วเชื่อๆ ตามๆ กันไป ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น


@ ในระยะยาวรากหญ้าหรือสีแดง กับชนชั้นนำในสังคม ใครจะชนะ-แพ้

   
ในอีกหลายปีข้างหน้า ผมยังเชื่อว่ามีวิวัฒนาการทางธรรมชาติ คนตระหนักในสิทธิของตัวเองมากขึ้น รู้มากขึ้น ระยะยาวคนที่เป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคม เขาจะชนะอยู่ดี มันเกิดขึ้นในทุกๆแห่ง มันจะดึงหรือหน่วงเอาไว้ ได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่สุดท้ายสังคมก็วิวัฒนาการไปสู่จุดที่คนตระหนักในคุณค่าเรื่องเสรีภาพ ความเสมอภาคอยู่ดี เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำนายไม่ได้ว่ากี่ปี เพราะมันไปพันกับลักษณะเฉพาะของสังคมไทย มันจะยากสำหรับสังคมนี้ ที่จะเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้วแต่มันจะเปลี่ยนโดยธรรมชาติของมัน แต่ผมก็ยังเชื่อนะว่าอะไรที่เป็นความจริง  มันก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ความจริงอาจจะถูกปิดบังในบางเวลา คนอาจจะเห็นความจริงไม่หมดในบางเวลาหรืออาจจะไม่อยากเห็นความจริงบางเรื่อง เห็นแล้วมันสะท้อนใจ กระแทกใจตัวเองหรือรับไม่ได้ มันไม่ตรงกับที่ตัวเองเชื่อที่ตัวเองคิด


@ ความจริงอาจจะมาช้าหน่อย

         
วันนี้เรื่องของคุณทักษิณ ก็มีคนที่เชื่อไปแล้วว่ามันเอื้อประโยชน์แน่ๆ มันทำอย่างนี้มันเอื้อแล้วแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยที่อาจจะไม่ได้แยกแยะเรื่องทางกฎหมายกับการเมืองออกจากกันให้ชัด อีกอย่างหนึ่งตอนนี้การวิเคราะห์ ในสังคมมันไม่สมบูรณ์เพราะเราไม่สามารถพูดได้ทุกเรื่อง ความจริงในสังคมประชาธิปไตยต้องวิเคราะห์อย่างสมบูรณ์แล้วก็จะเห็น บางคนถูกปิดตาไว้ข้างหนึ่งบางคนเต็มใจ ที่จะปิดตาไว้อีกข้างหนึ่งหรือบางทีปิดไว้ทั้ง 2 ข้าง เพราะเชื่อไปแล้ว พอเชื่อไปแล้วก็จบแล้ว คุณจะพูดอะไรก็ไม่ได้แล้ว เหมือนที่ใครบอกว่าผมเป็นกาลิเลโอหลงยุค แต่ผมไม่แคร์ เพราะผมรู้สึกว่าเขาไม่สามารถตอแยในเนื้อหาได้ต่างหากก็ออกไปทางนั้น ผมจะต้องไปสนใจอะไรกับเรื่องพวกนี้ อย่างที่ผมบอกถ้าผมสนใจกับเรื่องพวกนี้ ผมไม่ต้องทำอะไรแล้ววันๆ หนึ่ง แล้วผมจะสอนกฎหมายมหาชนยังไง ถ้ามีเรื่องที่ผิดหลักแล้ว ลูกศิษย์มาถามว่า ทำไมอาจารย์ไม่มีความเห็นอะไรเลย มันไม่ได้หรอก
 

@ อาจารย์วรเจตน์ ตั้งคำถาม ให้สังคมคิด แต่กระแสพัดแรงขนาดนี้ ใครจะฟัง

      
ก็จริง แต่ผมอยากให้ลองอ่านความเห็นของผู้พิพากษาข้างน้อยในคดีนี้ในประเด็นเรื่อง เอื้อประโยชน์หรือไม่ ท่านผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยในคดีนี้เขียนข้อเท็จจริงหลายเรื่องไว้ละเอียด บางเรื่องผมก็ได้อ่านหลังจากออกบทวิเคราะห์ไปแล้ว เช่น การอ้างคำพยานผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของสัมปทานดาวเทียม  แต่ประเด็นเรื่องหุ้นท่านผู้พิพากษาท่านนี้ก็ชี้นะว่าเป็นเรื่องที่คุณ ทักษิณถือเอง แต่ประเด็นเรื่องนี้เป็นประเด็นที่กลุ่มห้าอาจารย์ไม่ได้พูดไว้ในบท วิเคราะห์ มีคนคิดว่ากลุ่ม 5 อาจารย์เห็นด้วย แต่ผมมีความเห็นว่าเรื่องหุ้นนี่พูดยากนะ เพราะมันกระทบกับระบบการถือครองหุ้นทั้งระบบ คุณขายหุ้นให้ลูก ต่อมาลูกจะขายหุ้นต่อไป ลูกอายุ 22 มาปรึกษาคุณ คูณบอกขายหรือไม่ขาย แล้วจะแยกยังไง ว่าหุ้นเป็นของคุณ หรือเป็นของลูก ในทางรูปแบบหุ้นเป็นของลูก แต่ในทางเนื้อหาก็ชักไม่แน่ใจว่าใครถือครอง พอวินิจฉัยยาก ความไม่แน่นอนในทางนิติฐานะจะเกิดขึ้นทันทีในระบบกฎหมาย เพราะคุณออกทางไหนก็วิพากษ์วิจารณ์ได้ ผมจึงถามว่าคุณจะเอายังไง จะเขียนกฎหมายห้ามขายให้ญาติใกล้ชิดไหม คือห้ามคนในครอบครัวรัฐมนตรีถือครองหุ้นเลยไหม จะไหวไหม


@  ได้ข่าวว่า อาจารย์ วรเจตน์ เป็น  กาลิเลโอหลงยุค เป็น องครักษ์พิทักษ์ปลวก ไปแล้ว
  

ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมคิดว่าคนในวงการเขาก็รู้กันอยู่ว่าเป็นยังไง ก็เหมือนที่ผมถูกป้ายเป็นพวกทักษิณไง ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ จะป้ายก็ป้ายไป


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269515311&grpid=&catid=02

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

กรณี ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ตั้งอนุกรรมการ ไต่สวน นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง กับพวก ที่ถูกกล่าวหาว่า ทุจริตการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอประจำปี 2552 จำนวน 3 รุ่น ประมาณ 300 คน จากปลัดอำเภอที่เข้าสอบก

 

วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:58:55 น.  มติชนออนไลน์

อย่าใช้สถานการณ์"เสื้อแดง" กลบเรื่อง"เน่าใน"มหาดไทยโดย ประสงค์ วิสุทธิ์

การเคลื่อนขบวนครั้งใหญ่ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมาเพื่อกดดันรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้ยุบสภาด้วยข้อกล่าวหาต่างๆโดยเฉพาะเรื่องความไม่ชอบธรรมในการ เข้าสู่อำนาจว่า เป็น"นอมินี"ของกลุ่มอำมาตย์?


นอกจากเป็นข่าวใหญ่ของสื่อมวลชนที่กลบข่าวอื่นๆเกือบทั้งหมดแล้ว  อาจมีนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจในหน่วยงานบางแห่งใช้โอกาสนี้มั่วนิ่มกลบ หรือไม่ดำเนินการสะสางเรื่อง"เน่าใน"ภายในหน่วยงานที่ตนเองมีอำนาจ ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่กลุ่มเสื้อแดงจะเคลื่อนขบวนได้เกิดเรื่องอื้อฉาวใหญ่โตในหน่วยงานเหล่านี้จำนวนมาก


แต่ถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะยื้อแค่ไหน คงไม่สามารถหนีผลกรรมที่ตนเองก่อไว้พ้นโดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นในกระทรวงมหาดไทยหลายกรณี


อย่างไรก็ตาม ที่ชัดเจนที่สุดคือ กรณี ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ตั้งอนุกรรมการ ไต่สวน นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง กับพวก ที่ถูกกล่าวหาว่า ทุจริตการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอประจำปี 2552 จำนวน 3 รุ่น ประมาณ 300 คน จากปลัดอำเภอที่เข้าสอบกว่า 1,000 คน


หลักฐานการทุจริตที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตรวจพบคือ มีการยัดเด็กฝากรวมถึงปลัดอำเภอที่ยอมจ่ายเงินเพื่อแลกเข้าโรงเรียนกว่า 140 คน  เนื่องจากกระดาษคำตอบของผู้เข้าสอบเหล่านี้ เนื้อหาในทุกย่อหน้าเหมือนกันเกือบหมด และมีบางส่วนลายมือในกระดาษคำตอบไม่ตรงกับลายมือของผู้เข้าสอบ


จากการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า ผู้เข้าสอบเหล่านี้เกือบทั้งหมดต้องจ่ายเงิน(ผ่านนายหน้า)ให้แก่นักการเมือง ใหญ่ที่มีอิทธิพลครอบงำกระทรวงมหาดไทย แต่ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการรายละประมาณ 1 ล้านบาท ดังนั้น ในการตรวจข้อสอบ จึงไม่ได้สนใจตรวจกระดาษคำตอบ


เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เรียกกระดาษคำตอบมาตรวจ  ผู้บริหารระดับสูงของกรมการปกครองเห็นจวนตัว จึงเรียกปลัดอำเภอทั้ง140 คนมาเขียนคำตอบในกระดาษคำตอบใหม่โดยแจกโพยคำตอบให้เขียนตามตัวอย่าง ทำให้เนื้อหาในทุกย่อหน้าเหมือนกันเกือบหมด


แต่มีปลัดอำเภอบางคนไม่ได้มา  ผู้บริหารระดับสูงจึงใช้วิธีการให้คนอื่นเขียนแทนแล้ว"ไส้ใน"ของสมุดกระดาษ คำตอบ ทำให้ปรากฎร่องรอย สันของสมุดกระดาษคำตอบมีรอยลวดเย็บกระดาษอยู่หลายรู


หลังจากที่ตรวจพบหลักฐานที่ค่อนชัดเจน คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า ผู้เข้าสอบ 140 คนดังกล่าวน่าจะมีส่วนในการสนับสนุนให้เกิดการทุจริตซึ่งมีความผิดทางอาญา จึงแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งให้อนุกรรมการไต่สวนให้สอบปลัดอำเภอ 140 คนนี้ด้วย


อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด รองอธิบดีกรมการปกครองมาก่อน แม้จะรู้เส้นสนกลในกระทรวงมหาดไทยดี  แต่พี่เพื่อนน้องซึ่งได้รับความเดือดร้อนนับร้อยคนก็พยายามวิ่งเต้น ทำให้เกิดแรงกดดันต่อนายประสาทอย่างหนัก


ในที่สุดคณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะเป็นกรรมการไต่สวน เพื่อปิดทางไม่ให้ผู้ที่ถูกสอบสวนรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องวิ่งเต้นหรือกดดัน อนุกรรมการไต่สวนได้

แม้จะมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจน แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงแบบขอไปทีตามแรงกดดันทางการเมือง

 

แต่กลับไม่ยอมดำเนินการมในทางปกครองโยกย้ายผู้บริหารระดับสูงในกรมการปกครองที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอเพื่อมิให้มีอิทธิพลหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้


เช่นเดียวกับผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงหาดไทยที่ได้แต่ผายลมทางปาก อ้างว่า รักศักดิ์ศรีเกียรติยศชื่อเสียงของข้าราชการกระทรวงมหาดไทย แต่ กลับนั่งเงียบเป็นเป่าสากหรือยอมตกทาสอดีตปลัดอำเภอกระจอกๆซึ่งใช้อำนาจแบบ สามล้อถูกหวยและปกป้องนักการเมืองซึ่งเป็นผู้บงการอย่างไม่ลืมหูลืมตา

 

โดยหารู้ไม่ว่า  อีกไม่นาน หลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.สรุปผลสอบสวนออกมาแล้ว อาจมีข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยถึงปลัดอำเภอเกือบ 150 คน ต้องถูกไล่ออกจากราชการและถูกดำเนินคดีอาญาอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

เป็นการไล่ออกข้าราชการออกเพราะการทุจริตที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่จะสร้างความอับอายให้แก่กระทรวงแห่งนี้ไปอีกนานแสนนาน

ถ้าผลออกมาเช่นนี้จริง น่าจะมาคิดกันว่า ควรจารึกว่า ชื่อเสนาบดี ปลัดกระทรวง และอธิบดีกรมการปกครองในยุคนี้ให้คนรุ่นหลังสาปแช่งหรือไม่ เพื่อมิให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่างอีกต่อไป

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269000095&catid=02

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

จากยศช้างขุนนางพระ ถึงยศพระขุนนางพ่อค้า : การเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมในรัชกาลพระภูมิพล


อาจารย์ ศรีศักร วัลลิโภดม

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 16:22:29 น.  มติชนออนไลน์

จากยศช้างขุนนางพระ ถึงยศพระขุนนางพ่อค้า : การเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมในรัชกาลพระภูมิพล

ศรีศักร วัลลิโภดม

หมายเหตุ : บทความดังกล่าวนี้ นำมาจากเว็บไซต์ มูลนิธิ เล็ก-ประไพ ซึ่งเป็นบทความของ อาจารย์ ศรีศักร  วัลลิโภดม นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาชื่อดังของเมืองไทย ที่เขียนตอบคำถามวาทกรรมโดยมีการอธิบายคำว่า  "อำมาตย์-ไพร่" ไว้เผยแพร่ให้ผู้อ่านได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ สองคำนี้ ได้อย่างแท้จริง

 

“ตัวตน” และ “ชนชั้น” ในสังคมไทย


แก่นแท้ของวัฒนธรรมนั้นก็คือเรื่องของความคิด หรือถ้าจะพูดให้กระชับขึ้นก็คือความคิดและวิธีคิดของกลุ่มชนที่อยู่รวมกัน เป็นสังคม เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการแสดงออกร่วมกันทางพฤติกรรมที่เป็นรูปแบบ ทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรม


สิ่งที่เป็นรูปแบบทางรูปธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ในขณะที่สิ่งที่เป็นนามธรรมเป็นสิ่งที่ค่อนข้างหยุดนิ่งเปลี่ยนแปลงได้ยาก และช้า ความล่าช้าดังกล่าวนี้อาจเป็นสาเหตุให้สังคมที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั้นๆ อยู่ในภาวะที่เรียกว่า “ล้าหลังทางวัฒนธรรม” ก็ว่าได้


ในโลกปัจจุบัน บรรดาประเทศโลกที่สามซึ่งแต่ก่อนนี้เรียกกันว่าประเทศด้อยพัฒนาบ้าง หรือกำลังพัฒนาบ้างนั้น นับเป็นกลุ่มประเทศที่ประสบกับภาวะการล้าหลังทางวัฒนธรรม อันเนื่องมาจากไม่อาจปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมทางจิตใจให้เข้ากับความเจริญทาง วัตถุที่ได้อิทธิพลมาจากภายนอกได้


ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่า ประเทศโลกที่สามจำนวนมากเหล่านั้นเป็นสังคมแบบประเพณีที่มีความเจริญเป็น อาณาจักรและมีอารยธรรมมาช้านาน โดยเฉพาะประเทศในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประเทศไทยร่วมอยู่ ด้วยประเทศหนึ่ง


สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความคิดที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “ค่านิยม” อันเป็นสิ่งที่คนในสังคมคิดและมีความเห็นร่วมกันว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มักเป็นสิ่งที่เกิดจากการสังสรรค์และการถ่ายทอดกันมาช้านานของผู้คนที่อยู่ ในสังคมเดียวกัน เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมาก โดยเฉพาะในสังคมแบบประเพณีที่มีความเก่าแก่ เคยมีอารยธรรมมานั้น ดูจะยากกว่าสังคมที่เกิดขึ้นใหม่ๆ มากทีเดียว


ความขัดแย้งเช่นนี้ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าประเทศที่เคยมีอารยธรรมเก่าแก่เช่นประเทศไทย อาจนับเป็นประเทศโลกที่สามกับเขาได้


การที่มาถูกกล่าวหา หรือถูกกำหนดให้เป็นประเทศโลกที่สาม หรือประเทศด้อยพัฒนาดังกล่าวนี้ ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่บุคคลในสังคมนั้นเป็นอย่างมาก เลยทำให้มีการพัฒนาบ้านเมืองกันอย่างมากมาย เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าตนนั้นไม่ด้อยพัฒนา


ทว่า การพัฒนาดังกล่าวนั้นมักเป็นเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นทางด้านวัตถุ เสียมาก ผลที่ตามมาก็คือกลับยิ่งไปขยายช่องว่างระหว่างความเจริญทางวัตถุและค่านิยม ซึ่งเป็นเรื่องของความคิดจิตใจมากกว่าแต่เดิม


จนเกิดคำกล่าวให้ได้ยินยอมบ่อยๆ ว่า “modernization without development” คือ ความทันสมัยแต่ไม่พัฒนา นับเป็นความขัดแย้งระหว่างภาวะทางวัตถุกับทางจิตใจนั่นเอง


เมื่อเข้ากันไม่ได้ การปรับตัวให้ทันสมัยก็ไม่เกิดผล จึงดำรงอยู่ในภาวะความล้าหลังเมื่อ
เปรียบเทียบกับสังคมอื่นที่เขาปรับตัวเองได้


ผลของความล้าหลังที่เกิดขึ้นก็คือช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ เกิดขึ้น ระหว่างรัฐกับเอกชนจะเห็นว่าเกิดความเจริญเติบโตทางองค์กรธุรกิจเอกชนอย่าง มากมาย ที่สามารถเปรียบได้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในระบบราชการและองค์กรของรัฐยังอยู่ในสภาพล้าหลังที่ควบคุมและสร้าง ดุลยภาพระหว่างกันไม่ได้ เท่ากับไม่สามารถรักษาบทบาทหน้าที่ของรัฐในการควบคุมขององค์กรทางธุรกิจไม่ ให้แสวงหาผลประโยชน์จากสังคมถ่ายเดียวไม่ได้ ทำให้คนในสังคมเอารัดเอาเปรียบกัน คือคนที่มีการศึกษาดีกว่า ฉลาดกว่า ก็กลายเป็นผู้ฉวยโอกาสจากคนด้อยโอกาสที่มีเป็นจำนวนมาก


สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ คนถูกมองเป็นทรัพยากร เรียกว่า “ทรัพยากรมนุษย์” มีค่าเท่ากับทรัพยากรธรรมชาติและอื่นๆ ในกรอบความคิดที่เป็นเศรษฐกิจไป


ผลที่ตามมาก็คือ ทั้งคนและสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งของทางเศรษฐกิจถูกทำลาย อย่างย่อยยับ ดังที่แลเห็นภาพการล่มสลายของครอบครัวและชุมชน ตลอดจนภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างในทุกวันนี้


สิ่งที่โดดเด่นอันเป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ในประเทศไทยขณะนี้ก็คือ การเกิดชนชั้นกลุ่มใหม่ที่เข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง ซึ่งส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากชนชั้นกลางที่เป็นพ่อค้า ซึ่งอาศัยช่องว่าทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ชนกลุ่มนี้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจและการเมือง บางคนกลายเป็นสมาชิกของบริษัทข้ามชาติที่เชื่อมโยงเข้ากับระบบเศรษฐกิจของ โลกในยุคโลกานุวัตรไปก็มี


ดังนั้น สิ่งที่เห็นในสังคมไทยยุคใหม่ที่สำคัญก็คือ ความมั่งคั่งกับอำนาจกลายเป็นสิ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ออก และผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจก็คือผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองและการปกครองโดย ปริยาย


การเปลี่ยนแปลงที่เห็นนี้ ถ้ามองอย่างเผินๆ แล้ว ก็จะเห็นว่าประเทศไทยและสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นไปในมิติทางเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น ถ้าหากนับวัฒนธรรมรวมเข้าไปด้วยแล้ว ก็บอกได้แต่เพียงว่า วัฒนธรรมบางส่วนบางเรื่องเท่านั้นที่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ค่านิยมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปนี้ก็มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเช่นที่แลเห็นได้ในปัจจุบัน


ค่านิยมสำคัญที่ว่านี้มีสองอย่าง คือ ความเป็นปัจเจกบุคคล ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาหินยานหรือเถรวาทกับ ความยากมีตัวตนและชนชั้น  ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากระบบขุนนาง หรือระบบศักดินาที่มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ


ค่านิยมทั้งสองอย่างนี้มีตัวตนอยู่ในระบบค่านิยมและโครงสร้างทาง วัฒนธรรมของสังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัย แต่ในที่นี้จะวิเคราะห์เพียงค่านิยมอย่างที่สอง คือเรื่องความมีตัวตนและชนชั้นเท่านั้น


ขอกล่าวแต่เพียงคร่าวๆ ว่า ความเป็นปัจเจกบุคคลที่ได้รับมาจากพุทธศาสนา สอนให้คนเป็นที่พึ่งแห่งตน และรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองนั้น เข้ากันได้ดีกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีในปัจจุบัน ส่วนค่านิยมในเรื่องความมีตัวตนและชนชั้นนั้น ถ้ามองในแง่มุมสังคมแบบประชาธิปไตยแล้วก็คือสิ่งที่ขัดขวางความเจริญอย่าง ชัดเจน และเป็นรากเหง้าของความแตกต่างกันระหว่างตะวันตกกับตะวันออก


เพราะค่านิยมในเรื่องความเสมอภาคคือผลิตผลของสังคมประชาธิปไตยใน ตะวันตก เป็นคุณธรรมที่ถ่วงดุลไม่ให้ค่านิยมในเรื่องความเป็นปัจเจกบุคคลดำเนินไป อย่างสุดโต่ง และเป็นสิ่งพื้นฐานที่ลักดันให้เกิดเรื่องสิทธิมนุษยชนขึ้น


เมื่อสังคมไทยรับระบอบประชาธิปไตยเข้ามา จึงเกิดความขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่กำจัดค่านิยมที่เกี่ยวกับชนชั้นและความไม่เสมอภาคออกไปจากสำนึกและ โครงสร้างในระบบราชการ ดังเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น ประชาธิปไตย และยกเลิกฐานันดรศักดิ์ ยศชั้น ศักดินาแล้วก็ตาม ความรู้สึกในเรื่องยศชั้นก็ยังคงสิงอยู่ต่อไปในยศชั้นทหารและข้าราชการ พลเรือน เช่น นายพัน นายพล หรือชั้นโท ชั้นเอก ชั้นพิเศษ


สิ่งที่ตอกย้ำและกระตุ้นความรู้สึกสำนึกในเรื่องนี้ตลอดเวลาก็คือการ มีเครื่องแบบ ที่บ่งบอกถึงความแตกต่างในลักษณะต่ำ-สูง เป็นการตอกย้ำทั้งในเวลาทำงานปกติ และงานพระราชพิธี หรือรัฐพิธี


สำนึกในการมีตัวตนและชนชั้นดังกล่าวนี้ นับวันดูเหมือนเพิ่มพูนขึ้นจนสังเกตได้ชัดเจนในการหาเสียงเลือกตั้งผู้แทน ราษฎรแทบทุกครั้งทุกคราว เพราะผู้สมัครรับเลือกตั้งมักนิยมแต่งเครื่องแบบในลักษณะโอ่กันว่าใคร เด่นกว่ากันจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์และสายสะพาย ดูแล้วลานตาดี บางคนที่ไม่มีสายสะพายหรือรู้สึกด้อยกว่าเขา แต่มีดีกรีการศึกษาดีกว่า ก็นำเอาครุยปริญญามาใส่อวด น้อยคนนักที่ไม่แต่งเครื่องแบบ ที่โดดเด่นจนแปลกไปจากคนอื่นก็เห็นจะเป็นพลตรีจำลอง ศรีเมือง ท่านเดียวที่ใส่เสื้อม่อฮ่อมถ่ายรูปหาเสียง


พฤติกรรมเหล่านี้นับเป็นการแสดงออกที่เห็นชัดเจนในสำนึกและค่านิยม ที่ตรงข้ามกับการเป็นประชาธิปไตย จนกระทั่งกลายเป็นความมุ่งหมายและต้องการอย่างหนึ่งของผู้สมัครเสียด้วย


ที่กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะมีพฤติกรรมผลพวงตามมาให้เห็นอยู่เนืองๆ นั่นก็คือผู้แทนราษฎรเมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีหรือบุคคลสำคัญแล้ว มักนิยมนั่งรถที่โอ่อ่า เช่น รถเมอร์เซเดส เบนซ์ หรือรถอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน เป็นสิ่งแสดงฐานะความร่ำรวย มีรถตำรวจนำ มีขบวนผู้ติดตามเป็นพรวน


สิ่งเหล่านี้ทำให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า ความต้องการเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรก็คือต้องการที่จะเข้าไปเป็นนายประชาชน หาใช่เพื่อเสียสละเพื่อส่วนรวม และรับใช้ประชาชนไม่


ดูเหมือนความต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีนั้น คือความมุ่งหมายทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมชั้นสุดยอดของผู้สมัครรับเลือก ตั้งส่วนมาก  เพราะมีการตั้งเป้าหมายและวางแผนกันมาก่อนการสมัคร  และเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วก็เกิดความขัดแย้งชิงเก้าอี้กันเป็นปกติวิสัย  จนเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกและจ้องหาทางล้มล้างกัน  แทนการทำงานเพื่อรับใช้ส่วนร่วมตามอุดมคติของการปกครองแบบประชาธิปไตย


ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ดำรงมาถึง ๕๐ ปีในขณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นที่ ไม่เสื่อมสลายไปจากอดีตแม้แต่น้อย เป็นการดำรงอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองโดยแท้ นับเป็นวัฒนธรรมที่ไม่เปลี่ยนในขณะที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลง เลยทำให้นึกถึงคำพังเพยในอดีต ที่เกิดจากการนินทาและแดกดันสังคมในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ว่า “ยศช้างขุนนางพระ” แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นในค่านิยมนี้ที่มีไปถึงช้างและพระด้วย มาบัดนี้การเปลี่ยนแปลงมีแต่เพียงยศช้างหายไป พระยังคงมีอยู่ แต่ว่าสิ่งที่เข้ามาแทนช้างก็คือขุนนางพ่อค้า


จึงใคร่วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างและเหมือนกันของทั้งสองสมัย คือจากยศช้างขุนนางพระ มาเป็นยศพระขุนนางพ่อค้า ดังต่อไปนี้


ยศช้างขุนนางพระ

 

นวกรรมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถครั้งกรุงศรีอยุธยา คือการสร้างระบบศักดินาขึ้นเพื่อการปกครองประเทศและการบริหารราชการให้เป็น ผลดี ทั้งนี้เพราะกรุงศรีอยุธยาในเวลานั้นมีอาณาเขตกว้างใหญ่ อันเนื่องมาจากการวมหัวเมืองและรัฐอิสระหลายแห่งมาอยู่ใต้อำนาจ มีประชาชนมากมายหลายเผ่าพันธุ์ที่เข้ามาเป็นพลเมือง จำเป็นต้องยกระดับขึ้นเป็นราชอาณาจักร และรวมอำนาจมาไว้ที่ศูนย์กลางภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์


สิ่งที่จะทำให้รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางได้ดีนั้น จำเป็นต้องมีบูรณาการทางวัฒนธรรมและการเมืองที่จะทำให้ผู้คนซึ่งมีความแตก ต่างกันในทางชาติพันธุ์มีความรู้สึกร่วมกัน กลไกที่ทำให้เกิดสำนึกร่วมกันดังกล่าวนี้ก็คือภาษาและศาสนา


ในด้านภาษานั้น รัฐได้เลือกเอาภาษาไทยเป็นภาษากลางและเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญในราช อาณาจักร ความสำเร็จในเรื่องนี้เห็นได้จากเอกสารของชาวยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่เข้ามาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ระบุว่า ชาวสยามเรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย


ส่วนในด้านศาสนา รัฐได้ยกพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นศาสนาหลักของราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์และยกย่องมากกว่าศาสนาใด มีการสร้างวัดราษฎร์และวัดหลวงให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนบ้านและเมือง ผลที่ตามมาก็คือผู้คนแม้จะหลากหลายในด้านชาติพันธุ์และความเป็นมา แต่เมื่อมาอยู่รวมกันในดินแดนนี้ก็เป็นชาวพุทธร่วมกัน ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกในด้านความจงรักภักดีเชื่อมโยงไปถึงพระมหากษัตริย์ และบ้านเมืองด้วย นั่นคือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และบำรุงพระศาสนา หากใครมาทำอันตรายหรือคิดร้าย ก็เท่ากับทำลายพระพุทธศาสนา เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ หากมีข้าศึกมาย่ำยี ก็หมายความว่าเป็นการย่ำยีทำลายพระศาสนาเช่นกัน


ทั้งภาษาและศาสนานับเป็นกลไกที่สำคัญในการทำให้เกิดการบูรณาการทาง สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ส่งทอดไปถึงการสร้างระบบศักดินาอันมีความหมายในเรื่อง บูรณาการทางการเมืองด้วย นั่นก็คือเป็นระบบที่กลั่นกรองและยกระดับผู้คนที่รัฐและพระมหากษัตริย์เห็น ว่าจะทำหน้าที่และมีประโยชน์แก่แผ่นดินขึ้นมาเป็นขุนนางและข้าราชการ โดยจัดอันดับสูงต่ำให้ลดหลั่นกันไปตามความสามารถและความดีความชอบที่พระมหา กษัตริย์เห็นสมควร

 


แม้ว่าในสายพระเนตรของพระมหากษัตริย์นั้น  ทุกคนเหมือนกันหมด  อาจได้รับการลงโทษได้เท่าๆ กัน เช่นพระองค์สามารถถอดคนที่เป็นเสนาบดีให้เป็นตะพุ่นหญ้าช้าง หรือโปรดฯ ให้ตะพุ่นหญ้าช้างเป็นเสนาบดีได้ในพริบตาเดียวก็ตาม คนส่วนใหญ่ในสังคมก็ยังคงยอมรับพระราชอำนาจนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้โอกาสมีหน้ามีตาและมีความสำคัญได้เท่าเทียมกัน นิยายเรื่องขุนศึกที่เคยฉายอยู่ในทีวีก็เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าแม้ แต่คนที่มีฐานะเป็นทาส หรือไพร่ เช่นไอ้เสมา ก็สามารถก้าวข้ามบันไดสังคมไปเป็นขุนนางศักดินากับเขาได้


ระบบศักดินาไม่ได้หยุดนิ่งอย่างที่มีขึ้นแต่แรกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเท่านั้น หากยังได้รับการปรุงแต่งและส่งเสริมเรื่อยมา ดังสังเกตได้จากหลักฐานทางเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายตราสามดวง หรือพระราชพงศาวดารที่เกี่ยวกับเรื่องยศ – ชั้นของขุนนางผู้ใหญ่ กล่าวคือในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนั้นคงมีแต่เพียงออกญาหรือพระยาเป็นที่ สุด แต่สมัยหลังลงมาเกิดมีเจ้าพระยาและสมเด็จเจ้าพระยา เป็นต้น โดยเฉพาะสมเด็จเจ้าพระยานั้น น่าจะพัฒนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง


นอกจากนี้ ก็ยังมีเครื่องแสดงยศถาบรรดาศักดิ์ เช่น ดาบ กระบี่ พานหมาก เสลี่ยง เรือ เป็นต้น ที่พัฒนามากเห็นจะเป็นตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช อันเป็นสมัยที่มีของจากภายนอกเข้ามามาก และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีพอสมควร ยุคนี้เวลาเจ้านายและขุนนางตายก็มีการใส่โกศหรือใส่หีบทองพระราชทาน มีเครื่องประดับยศหรูหราเป็นรูปธรรมขึ้น


พอมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาขุนนางตายมีโอกาสได้เผาศพในเมรุมาศคล้ายๆ กันกับพระมหากษัตริย์ทีเดียว


แต่ที่โดดเด่นทันสมัยและเข้าใจว่าสมบูรณ์ที่สุดนั้น ก็คือสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ที่มีการรับอิทธิพลการแต่งกายมาจากฝรั่ง มีการให้เหรียญตราและสายสะพายขึ้น กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบ เป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปแม้แต่คนที่เป็นสมเด็จเจ้าพระยาก็ยังต้องการ คือในสมัยรัชกาลที่ ๕ เกิดความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างพระพุทธเจ้าหลวงกับสมเด็จเจ้าพระยาบรม มหาศรีสุริยวงศ์ในเรื่องวันฉัตรมงคล เพื่อยุติความขัดแย้ง รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดฯให้สร้างตราจุลจอมเกล้าขึ้นพระราชทานในวันฉัตรมงคล ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ได้รับพระราชทานด้วย ความขัดแย้งจึงหมดไป


แต่สิ่งนี้จะมองในลักษณะที่มอมเมาไม่ได้ เพราะทั้งผู้ให้และผู้รับนั้นอยู่ในระบบคุณธรรมเสมอกัน พระเจ้าแผ่นดินนั้นหาได้อยู่ในฐานะที่จะเห็นใครชอบใครแล้วพระราชทานให้ไม่ แต่ต้องมีกฎเกณฑ์และมีกรอบคุณธรรมที่เรียกอย่างกว้างๆ ว่า “ทศพิธราชธรรม” ควบคุมอยู่


ถ้ามองอย่างเจาะจงแล้ว จะเห็นว่ารัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นสุขุมาลชาติ ทรงมีความละเอียดอ่อน  รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ไม่หักหาญกับสมเด็จเจ้าพระยาฯ ในขณะเดียวกัน สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็โอนอ่อน แลเห็นความหมายของกุศโลบายของตราจุลจอมเกล้าที่มุ่งเชิดชูผู้ทำคุณประโยชน์ ให้กับแผ่นดินที่สืบทอดไปถึงลูกหลาน นั่นก็คือการสร้างสำนึกในเรื่องตระกูลวงศ์ขึ้น ตระกูลวงศ์จะดำรงอยู่อย่างได้รับการยกย่องก็ต่อเมื่อบุคคลในตระกูลนั้นมี คุณธรรม มีความซื่อตรงต่อแผ่นดิน


เพราะฉะนั้น ระบบศักดินาจึงไม่ใช่ระบบที่เป็นกลไกในการสร้างบูรณาการทางการเมืองและการ ปกครองอย่างโดดๆ หากมีความสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างของระบบคุณธรรมในยุคนั้นสมัยนั้น ทีเดียว เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับ จากชนทุกชั้นในสังคมจนกลายมาเป็นค่านิยมที่ฝังอยู่ในสำนึกของคนไทยมาช้านาน


คำว่า “ยศช้างขุนนางพระ” นั้นจึงหาได้เป็นคำพังเพยแบบแดกดันแต่เพียงอย่างเดียวไม่  หากมีนัยของระบบคุณธรรมแอบแฝงอยู่ อย่างเช่นคำว่า “ยศช้าง” คือแม้แต่ช้างก็มียศ มีราชทินนาม เช่น เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยาปราบไตรจักร เป็นต้น ก็เพราะช้างในสมัยนั้นเป็นสัตว์มีคุณ เป็นพาหนะที่ใช้ทำศึกสงคราม เปรียบได้กับรถเกราะหรือรถถังในปัจจุบัน การให้ยศนั้นคือการแสดงออกถึงการให้คุณค่า และที่สำคัญก็คือความกตัญญูรู้คุณช้าง ดูแล้วผิดกับคนสมัยนี้ที่ไม่มีคุณธรรม เอาช้างมาลากซุงทรมาน เอามาเป็นพาหนะรับใช้นักท่องเที่ยวและเอามาแสดงปาหี่ต่างๆ จนเกือบจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว


ส่วนเรื่องขุนนางพระนั้น ก็มีความจำเป็นที่พระมหากษัตริย์ต้องเกี่ยวข้องด้วย พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของทางธรรม ไม่นิยมให้พระสงฆ์มาเกี่ยวข้องกับทางโลกโดยไม่จำเป็น พระมหากษัตริย์จึงต้องเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกบำรุงศาสนาและจัดตั้งองค์กร สงฆ์ที่แยกออกจากทางโลกโดยเฉพาะและให้พระสงฆ์ควบคุมกันเองภายใต้การดูแลของ พระมหากษัตริย์ จึงเกิดตำแหน่งขุนนางพระขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าพระสงฆ์ไม่ประพฤติในทางที่ถูกที่ควรก็จะถูกลงทัณฑ์ได้


ยกตัวอย่างเช่นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้มีการถอดยศและลงทัณฑ์พระเถระที่ประพฤติผิดหลายรูป รวมทั้งได้มีการกำหนดพระสงฆ์ขึ้นควบคุมดูแลด้วย ความชั่วดีและการได้ยศศักดิ์นั้นอยู่ที่พระสงฆ์เอง แต่สำหรับพระสงฆ์ที่เป็นพระจริงๆ แล้ว ท่านก็มักไม่ติดยึดกับยศถาบรรดาศักดิ์


ดังเช่นท่านพุทธทาส เป็นต้น ทั้งที่โดยฐานะและตำแหน่งท่านคือเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุไชยา และมียศเป็นชั้นธรรมแต่ท่านไม่ติดกับสิ่งเหล่านี้ กลับแยกไปสร้างสวนโมกข์และปฏิบัติธรรมอย่างเป็นเอกเทศ ในขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิเสธและขัดขืนความต้องการของแผ่นดิน ผิดกับพระอีกเป็นจำนวนมาก ในสมัยนี้ ที่ต้องการได้พัดยศ ได้ตำแหน่ง และยุ่งในทางโลกจนเป็นที่ติฉินนินทาของคนทั่วไป


เท่าที่กล่าวเรื่องยศช้างขุนนางพระมานี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความรู้สึกอยากมีตัวตนและชนชั้นที่เป็นค่านิยมของคนไทยทุกวันนี้นั้น เป็นสิ่งที่มีมากับโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมแต่เดิม และตกทอดมาจนทุกวันนี้

 

ยศพระขุนนางพ่อค้า

 

สมัยยศช้างขุนนางพระเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อำนาจและความชอบธรรมในการปกครองแผ่นดินมาจากเบื้องบน คือศาสนาและพระมหากษัตริย์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นสังคมยังไม่มีขนาดใหญ่โตซับซ้อนดังที่เห็นในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าในสมัยรัชกาลที่ ๔ สยามมีประชากรเพียง ๕ ล้านคน พอถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็เพิ่มเป็น ๗ ล้านคน การดูแลความประพฤติของขุนนางข้าราชการยังทำได้ทั่วถึง


เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่ถือว่าอำนาจในการปกครองแผ่นดินมาจากประชาชนที่อยู่เบื้องล่างนั้น แท้จริงก็คือการเปลี่ยนแปลงเพียงที่มาของอำนาจ ไม่เป็นกลุ่มเผด็จการทหารเท่านั้น โครงสร้างและค่านิยมแต่เดิมยังคงดำรงอยู่ สิ่งที่ตามมาและเห็นได้ชัดเพียงอย่างเดียวก็คือการเล่นพรรคเล่นพวกและการ คอร์รัปชั่น เพราะอำนาจกระจายไปยังผู้คนต่างๆ มากกว่าแต่เดิม และระบบคุณธรรมที่เคยควบคุมความประพฤติแต่เดิมก็สั่นคลอน


กระนั้นก็ดี ก็ยังแลเห็นว่าใครเป็นใคร เพราะประชาชนน้อยและขุนนางรุ่นเก่ายังมีอยู่มาก เช่นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีประชาชนอยู่ ๑๘ ล้านคน และจอมพล ป. เองก็มีสำนึกเรื่องประชาธิปไตยอยู่มิใช่น้อย


สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นต้นมา เป็นการเปลี่ยนรุ่นของข้าราชการ พวกที่เคยเป็นขุนนางมาแต่เดิมก็หมดไป เกิดคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาดำรง ตำแหน่งสำคัญทางราชการแทน ทำให้เกิดการพัฒนาระบบราชการ มีสถาบันสอนวิชารัฐประศาสนศาสตร์ วิชาศึกษาศาสตร์ และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ จนเกิดแผนพัฒนาขึ้นมาหลายฉบับ


เพราะฉะนั้น ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์เป็นต้นมานั้น อาจนับเป็นยุคใหม่ของระบบราชการก็ว่าได้ ความเป็นยุคใหม่นี้ที่เห็นชัดเจนก็คือ ระบบคุณธรรมที่เคยมีมาแต่เดิมได้หมดไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ค่านิยมในการมีตัวตนและชนชั้นยังคงดำรงอยู่อย่างสืบเนื่อง แต่เป็นการสืบเนื่องชนิดที่ไม่มีระบบคุณธรรมควบคุมอย่างแต่ก่อน

 

สิ่งโดดเด่นที่ทำให้คนมีหน้ามีตา และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่โตทางราชการที่สำคัญ ก็คือการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามักเป็นการศึกษาเฉพาะด้าน และเน้นในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยีเป็นสำคัญ เพราะถือว่าเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ


ผลที่ตามมาก็คือมีคนรุ่นใหม่จบปริญญาโท-เอก จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่ไปโดยทุนส่วนตัว ทุนราชการโดยมูลนิธิต่างๆ ไปจนถึงทุนต่างประเทศ ได้กลับมารับราชการ มีตำแหน่งและความก้าวหน้าทางฐานะอย่างรวดเร็วทำให้คนส่วนใหญ่แลเห็นว่าการ ศึกษาเป็นหนทางไต่เต้าไปสู่การมีฐานะและมีหน้าตา ครอบครัวเป็นจำนวนมากสนับสนุนให้ลูกหลานเรียนจบไวๆ เพื่อให้ได้ปริญญาตั้งแต่อายุน้อยๆ จะได้มีความก้าวหน้ารวดเร็ว เป็นเหตุให้เกิดโรงเรียนกวดวิชาขึ้นเป็นดอกเห็ด ขาดการควบคุมมาตรฐานการเรียน เรียนกันแบบท่องจำ คิดไม่เป็น เพื่อให้ได้คะแนนดี  ได้เกียรตินิยม มีหน้ามีตา ฯลฯ


คนรุ่นใหม่ นักวิชาการรุ่นใหม่ และข้าราชการรุ่นใหม่เหล่านี้ คือผู้ที่ทิ้งระบบคุณธรรมและความรู้ต่างๆ ที่เป็นภูมิปัญญาของแผ่นดินที่เคยจรรโลงบ้านเมืองให้อยู่สืบเนื่องมาแต่เดิม เสียสิ้น แต่หาได้ทิ้งค่านิยมแห่งการมีหน้ามีตาและยึดถือในชนชั้นที่มีมาแต่เดิมไม่ ยังคงรับไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำลายจรรยาของวิชาชีพและจริยธรรมอันดีงามของสังคมไป เกิดการทำงานแบบเอารัดเอาเปรียบ ไม่รอบคอบ และมองอะไรแต่เฉพาะเพื่อตนเองและผลประโยชน์ของกลุ่มตน


โดยเฉพาะเกิดกลุ่มผลประโยชน์มากมาย เพราะวิชาที่เรียนมากเป็นวิชาเฉพาะหรือวิชาที่เน้นเทคโนโลยี ไม่ช่วยยกระดับจิตใจให้กว้างขวางแต่อย่างใด ทำให้สังคมไทยมีความซับซ้อนด้วยกลุ่มวัฒนธรรมย่อยที่มีบทบาทในทางลบมากกว่า ทางบวก สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ทำให้วัฒนธรรมไทยมีทิศทางไปในเรื่องวัตถุนิยมและ ปัจเจกบุคคลนิยมอย่างสุดโต่ง


สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม้ว่าจะไม่รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจก็ตาม แต่ก็เป็นยุคที่มีการเพาะคนรุ่นใหม่ที่สานไม่ติดกับอดีต และในขณะเดียวกันก็สร้างโครงสร้างภายใน เช่น ถนน เขื่อน ชลประทาน เพื่อรองรับการขยายตัวของบ้านเมืองเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งก็ทำให้เกิดผลในสมัยต่อมา เช่นในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร แต่เป็นผลของความเจริญทางเศรษฐกิจเชิงทำลายเพราะป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ เริ่มหมดไป เกิดเผด็จการทหารที่ร่วมกับพวกพ่อค้านายทุนสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้าน เมือง จนเป็นเหตุให้เกิดกลุ่มปัญญาชนและขบวนการรักชาติขึ้น จนนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นขบวนการที่ต่อต้านเผด็จการและพวกนายทุนโดยตรง


เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ทำให้เกิดการถ่วงดุลระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่อยู่ในเมือง ซึ่งประกอบด้วยนายทุนเป็นจำนวนมาก กับขบวนการรักชาติที่อยู่ในป่าซึ่งเป็นพวกสังคมนิยม ก็นับว่ายังโชคดีที่บรรดาทรัพยากรหลายๆ แห่งในประเทศ โดยเฉพาะป่าไม้ไม่ถูกทำลาย แต่แล้วก็เป็นไปได้ไม่นานเพราะหลังจากที่มีการประนีประนอมกันในสมัยรัฐบาลพล เอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์แล้ว ขบวนการรักชาติออกจากป่า ก็เกิดการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ การเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมเชิงวิบัติก็กลับมามีอำนาจดังเดิม


แต่สิ่งที่กลับร้ายยิ่งกว่าเดิมก็คือการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่ เติบโตและร่ำรวยขึ้นภายหลังจากขบวนการรักชาติออกจากป่านั้น มีการตัดไม้ทำลายป่าแสวงหาทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิดควบคู่ไปกับการค้าของเถื่อน และกิจกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปทั่วทุกท้องถิ่น เกิดระบบเจ้าพ่อและผู้มีอิทธิพลโยงใยกันเป็นเครือข่ายจากระดับท้องถิ่นถึง รัฐสภา


สิ่งที่เปิดโอกาสให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้ามามีอำนาจก็คือคำว่า “ประชาธิปไตย” และสิ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “เปลือกนอกของประชาธิปไตย” นั่น เอง เพราะเปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มเหล่าเข้ามาเลือกตั้งได้ พวกนายทุนและพ่อค้าที่ไม่มีคุณธรรมก็เข้ามาได้โดยอาศัยช่องว่างของคำว่า ประชาธิปไตยและพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีมาแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ่อค้านายทุนสามารถใช้อิทธิพลทั้งอำนาจและการเงินซื้อเสียงให้ชาวบ้านเลือกตนเข้ามานั่งในสภาได้ และจากสภาก็เข้าสู่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่มีอำนาจในการปกครองและบริหารประเทศเต็มที่ เมื่อนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้อย่างผิวเผิน ก็เป็นเหตุให้อำนาจการปกครองเปลี่ยนมือจากพระมหากษัตริย์ และจากเผด็จการทางทหารมาเป็นเผด็จการพ่อค้าและนายทุนแทน


ปัจจุบัน พวกพ่อค้านายทุนไม่จำเป็นต้องติดสินบนข้าราชการ หรือกราบไหว้ข้าราชการเพื่อให้อำนวยประโยชน์แก่ตนอีกต่อไป เพราะพวกพ่อค้าสามารถเข้ามาเป็นขุนนางและเสนาบดีที่อยู่เหนือหัวบรรดาข้าราชการอยู่แล้ว ฉะนั้น ระบอบราชการที่เคยดำรงอยู่ในการทำคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนร่วมก็กลายมาเป็น ระบบที่ล้าหลัง และเป็นเครื่องมือของพวกพ่อค้านายทุนไป


แต่ที่ร้ายที่สุดที่ทำให้พวกพ่อค้านายทุนมีอำนาจยิ่งใหญ่ ก็คือค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นที่ยังดำรงอยู่ เพราะนอกจากทำให้พวกพ่อค้าที่เป็นขุนนางมีหน้ามีตาแล้ว ยังมีอำนาจที่จะแต่งตั้งและช่วยเหลือข้าราชการที่รับใช้ตนให้มีอำนาจมีหน้า มีตาด้วย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นจากการมีเครื่องแบบ มีเครื่องประดับยศศักดิ์ทั้งสิ้น


เมืองไทยจึงเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่เต็มไปด้วยเครื่องแบบและความเหลื่อมล้ำของชนชั้นที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้

 

สรุปและวิเคราะห์


ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นเป็นสิ่งที่มีมานานแต่สมัยราช อาณาจักรอยุธยา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากระบบศักดินาแต่ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในสมัยศักดินาหรือในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ค่านิยมนี้ไม่ได้อยู่อย่างโดดๆ หากเป็นส่วนหนึ่งในระบบคุณธรรมที่มีค่านิยมอื่นหรือองค์ประกอบอื่นคอย ถ่วงดุลไม่ให้มีลักษณะที่เกินเลยไปจนเป็นผลร้ายต่อสังคม


ดังเช่นการมีหน้ามีตาก็เป็นสิ่งที่ควบคู่ไปกับการอับอายขายหน้าเสีย ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ผู้ที่อยากเป็นคนเด่นคนดังก็จำเป็นต้องระมัดระวัง มีการตรวจสอบจากเบื้องบนคือพระมหากษัตริย์และขุนนางผู้ใหญ่ ดังเช่นสมเด็จพระบรมราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในสมัยรัชกาลที่ ๑

 

ทรงนิพนธ์ไว้ในเพลงยาวรบพม่าว่า


 “...สุภาษิตทานกล่าวเป็นราวมา   จะแต่งแต่งเสนาธิบดี
 ไม่ควรอย่าให้อัครฐาน              จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
 เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี        จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา
 เสียยศศักดิ์นคเรศ                   เสียทั้งพระนิเวศวงศา
 เสียทั้งตระกูลนานา                 เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร
 สารพัดจะเสียสิ้นสุด...”

 

นับเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าการให้ยศถาบรรดาศักดิ์แก่คนนั้น ถ้าไม่ดีอาจทำให้บ้านเมืองพินาศได้


ส่วนสิ่งที่ควบคุมขึ้นมาจากเบื้องล่างอันดับแรกก็คือตระกูลของผู้ที่ ได้รับยศศักดิ์นั่นเอง การเป็นคนที่อยู่ในตระกูลนั้นจะต้องผ่านการอบรมทางด้านศาสนา ศีลธรรม และคุณธรรม อันเป็นสิ่งที่ชอบในสังคมด้วย ถ้าประพฤติไม่ดี ไม่เหมาะสม ตระกูลก็เสียหายขายหน้า นำไปสู่การติฉินนินทาของคนทั่วไปในสังคม


เพราะฉะนั้น การนินทาก็นับเนื่องเป็นกลไกในการควบคุมจากเบื้องล่างอีกระดับหนึ่งเหมือนกัน ดังในวรรณคดีเรื่อง กฤษณาสอนน้องกล่าวว่า


 “...ความดีก็ปรากฏ  กฤติยศฦๅชา
 ความชั่วก็นินทา      ทุรยศยินขจร...”

 

หรือจะกล่าวอย่างย่อๆ ว่า การมีตัวตนมีหน้ามีตาเป็นชนชั้นของคนสมัยก่อนนั้น กว่าจะมีได้ก็ต้องผ่านการอบรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีกลไกต่างๆ ทางคุณธรรมและจริยธรรมคอยดูแลควบคุมไว้นั่นเอง


ปัจจุบัน สังคมเปลี่ยนจากระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยแบบ ทางตะวันตก แต่ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตน มีหน้ามีตาและชนชั้นนั้นก็มิได้เสื่อมลงไปด้วย กลับดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นการดำรงอยู่ในระบบค่านิยมและวัฒนธรรมแบบใหม่ ที่ไม่มีกลไกทางคุณธรรมรองรับหรือคอยถ่วงดุลอย่างแต่ก่อน


ระบอบประชาธิปไตยแบบผิวเผินนี้ได้ทำให้พวกพ่อค้าที่มีโลกทัศน์และแนว คิดเพียงแต่กำไร-ขาดทุนมีโอกาสเข้ามาเป็นขุนนาง เลยทำให้ค่านิยมในเรื่องชนชั้นดังกล่าวยิ่งกลับมาส่งเสริมให้ความมั่งคั่งใน เรื่องเงินตราและอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจในการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินก็กลายเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกันไป


ข้าราชการที่แต่ก่อนนี้เคยเชื่อว่า “สิบพ่อค้าก็ไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” ก็ต้องมาสยบกับพวกพ่อค้าที่เข้ามาเป็นเสนาบดีเพื่อที่คนจะได้เลื่อนตำแหน่ง ยศศักดิ์และมีหน้ามีตา

 

ถึงตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอัญเชิญพระนิพนธ์ของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทอีกตอนหนึ่งมา
      
                                     “...ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถ

 ครั้นทัพเขากลับยกมา       จะองอาจอาสาก็ไม่มี 
  แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ  จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่
       ฉิบหายตายล้มไม่สมประดี   เมืองยับอัปรีย์จนทุกวันฯ...ฯ

 

ทุกวันนี้ กรุงเทพฯ ก็คืออยุธยาดังที่ว่านี้ วัฒนธรรมแบบพ่อค้าได้ทำลายคุณธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นกลไกคอยควบคุมไม่ให้ค่า นิยมในเรื่องการมีตัวตน และชนชั้นเป็นไปในทางที่เสียหายให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง คุณธรรมที่ว่านี้คือ “หิริโอตตัปปะ” หรือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เป็นสิ่งที่ทำให้คนแต่ก่อนไม่หน้าด้านเอาแต่ได้ เมื่อมาหมดไปเช่นนี้ความหน้าด้านเอาแต่ได้ก็เข้ามาแทนที่ และเป็นสิ่งส่งเสริมการมีหน้ามีตาของคนในสังคมปัจจุบัน


ที่น่าสลดใจก็คือ แม้แต่ชุมชนทางวิชาการ เช่น ในมหาวิทยาลัย ก็ได้รับผลกระทบดังกล่าว ซึ่งเห็นได้จากการขอตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มและถูกครอบงำจากผู้บริหารในทบวงที่มีคุณสมบัติเป็น นักธุรกิจ นับเป็นการทำลายความมีหิริโอตตัปปะที่เป็นคุณสมบัติและคูณธรรมของครูบา อาจารย์โดยแท้


ถ้าจะมองให้กระชับลงไปกว่านี้ก็อาจกล่าวได้ว่า การดำรงอยู่ของค่านิยมในเรื่องการมีตัวตน มีหน้ามีตาและชนชั้น ก็คือสิ่งที่ขัดแย้งอย่างยิ่งกับอุดมการณ์ของความเป็นประชาธิปไตย เพราะเป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้ค่านิยมในเรื่องความเสมอภาคและความเป็นมนุษย์ที่ อยู่ร่วมกันอย่างเรียบง่าย เกิดขึ้นในสังคมนี้

                             http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269164032&catid=02

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

สาวผู้ดีใจโหด เผากระต่าย เพราะเมาเบียร์

สาวผู้ดีใจโหด เผากระต่าย เพราะเมาเบียร์

Pic_71560 ภาพจาก : www.dailymail.co.uk

เมาเบียร์แล้วพาล จุดไฟเผากรงดูกระต่ายทรมานแล้วมีความสุข เคราะห์ดีช่วยได้ทันแต่ขนไหม้แผลเหวอะ แถมต้องตัดหูทิ้ง 1 ข้าง สาวผู้ดีใจโหดรอขึ้นศาล อาจโดนจำคุกครึ่งปี ปรับอีกเกือบล้าน...




สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ว่า เหตุสลดเกิดขึ้นที่เมืองไวเทนชอว์ ในเกรทเธอร์ แมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร เมื่อเดือนกันยายนปีกลาย โดยเคธีย์ บาร์เบอร์ สาววัย 22 ปี เมาคลุ้มคลั่ง หลังจากดื่มเบียร์สดไป 7 กระป๋อง ก่อเหตุเผาเสื้อผ้าทั้งหมดของแม่วอด แต่เกิดฉุกคิดถึงกระต่ายสุดรักของครอบครัว จึงพุ่งตรงไปยังกรง จัดการนำเศษกระดาษติดไฟโยนเข้าไปเพื่อบรรดาลโทสะ และปิดกรงขังกระต่ายน่าสงสาร

เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่ แม่ และราเชล (น้องสาวของเคธีย์) เจ้าของกระต่าย รวมถึงแฟนหนุ่มของเคธีย์ ไปเที่ยวพักร้อน ทั้งนี้ข่าวรายงานว่า เมื่อเคธีย์จัดการคลอกสดกระต่าย เธอยืนมองกระต่ายกระโดดหนีไฟไปมา และหัวเราะอย่างบ้างคลั่ง ซึ่งในที่สุดกระต่ายได้รับความช่วยเหลือโดยการสาดน้ำใส่กรงให้ไฟมอด ก่อนนำตัวออกมา เคราะห์ดีที่กระต่ายน้อยไม่เสียชีวิต แต่ตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยไหม้

http://www.thairath.co.th/content/oversea/71560
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปีเสือดี มีอนาคตที่สดใส......

สวัสดีปีเสือดีครับ

 

 

ยิ้มรับกับชีวิตใหม่ที่สดใส และโอกาสใหม่ๆของชีวิต

 

ลองให้โอกาสตัวเองได้ศึกษาข้อมูลใหม่ๆดูบ้างครับ

 

www.my-freedomlife.com

 

 

อย่าเพิ่งปฏิเสธสิ่งที่คุณยังไม่รู้ เพราะคุณอาจปฏิเสธสิ่งที่คุณค้นหามาทั้งชีวิต

 

ถ้าเมล์นี้เป็นการรบกวนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ