| วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:12:21 น. มติชนออนไลน์ เมื่อ "วรเจตน์" จุดไฟในสายลมว่าด้วยศาลฎีกา อ.สมเกียรติ ท่านปรีดี และชะตากรรมของ 5 อาจารย์ จาก เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์บ่อยนัก ยิ่งบรรยากาศการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อาจารย์วรเจตน์ ยิ่งหรี่เสียงตัวเองลงไปเรื่อยๆ แต่นัดนี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ยิงคำถามสำคัญ แบบไม่เกรงใจ เพราะมีคนนินทาว่า บทวิเคราะห์ของ 5 อาจารย์ เอื้อ"ทักษิณ"แบบสุด ๆ
ในส่วนเนื้อหาที่ว่าเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่นั้น ช่วงที่ผ่านมาเป็นการพูดมุมเดียว ไม่มีการถามคนที่ประกอบกิจการในตลาดที่มีความรู้เรื่องนี้ว่ามุมมองเรื่อง นี้เป็นอย่างไรและวิเคราะห์รอบด้านหรือไม่ ผมเห็นไม่ตรงกับ อาจารย์สมเกียรติ (ตั้งกิจวานิชย์ )ในส่วนเรื่องการกีดกันและเอื้อประโยชน์ในส่วนโทรคมนาคม เพราะดูจากตัวสัญญาระหว่างบริษัทมือถือต่างๆ ที่ทำกับรัฐวิสาหกิจของรัฐและในส่วนกฎหมายที่ออกมา วัตถุประสงค์ของภาษีสรรพสามิต ยังไม่พบว่าเป็นการกีดกันรายใหม่แต่อย่างใด เรื่องต้นทุนการประกอบกิจการก็ไม่น่าจะมีผลเป็นการกีดกัน เพราะเมื่อเปรียบเทียบรายใหม่กับรายเก่าแล้ว ต้นทุนในส่วนที่จะต้องชำระส่วนแบ่งรายได้ให้กับรัฐเมื่อเปรียบเทียบกับราย ใหม่ที่จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบวกกับภาษีสรรพสามิตด้วย ของรายเก่าก็สูงกว่าอยู่ดี @ ต้องเข้าใจ โครงสร้างกิจการโทรคมนาคมแบบไทยๆ อันที่จริงประเด็นเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคมมีสองเรื่อง ใหญ่ๆ คือ คือ 1 การออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตในสมัยรัฐบาลคุณทักษิณทำให้รัฐเสียประโยชน์ หรือไม่ 2 กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่ เราจะเข้าใจประเด็นเหล่านี้ไม่ได้ถ้าไม่มองภาพรวมธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศ ไทย
เมื่อเอไอเอสเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับองค์การโทรศัพท์ ก็ต้องจ่ายค่าสัมปทานให้องค์การโทรศัพท์ซึ่งมีโครงข่ายเป็นของตนเองและเป็น โครงข่ายหลักในประเทศ ขณะที่ดีแทคและทรูมูฟซึ่งทำสัญญากับการสื่อสารฯและต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับ การสื่อสารนั้น จะต้องเชื่อมต่อโครงข่ายขององค์การโทรศัพท์ และด้วยเหตุนี้ทั้งสองบริษัทจึงมีต้นทุนการประกอบการอีกส่วนหนึ่งซึ่งเอไอ เอสไม่มี คือ ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย ผลจากการนี้จึงทำให้ต้นทุนการประกอบการของบริษัทเหล่านี้ไม่เท่ากันตั้งแต่ แรก พูดง่ายๆทำให้ ดีแทคกับทรูมูฟ มีต้นทุนสูงกว่า เพราะนอกจากจะจ่ายค่าสัมปทานให้การสื่อสารฯแล้วยังต้องจ่ายค่าเชื่อมต่อโครง ข่าย ให้กับองค์การโทรศัพท์อีกด้วย อันนี้คือประเด็นที่เป็นผลจากภาครัฐเองในแง่การให้สัมปทาน ในเวลาต่อมามีการแปรรูปองค์การโทรศัพท์เป็นบริษัท ทีโอที มีการแปรรูปการสื่อสารเป็นบริษัท กสท. โทรคมนาคม ซึ่งมีการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้น และกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าในอนาคตหากมีการนำบริษัทสองบริษัทนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็จะต้องขายหุ้นให้ผู้อื่นเข้ามาถือ ประเด็นคือ ตอนแปรรูปทั้ง 2 หน่วยงานให้เป็นบริษัท ทั้ง 2 หน่วยงานยังได้สืบสิทธิตามสัญญาสัมปทานเดิมต่อไป นั่นคือทั้งทีโอทีและ กสท.โทรคมนาคมยังได้ส่วนแบ่งรายได้จากการประกอบการของเอไอเอส ดีแทคและทรูมูฟไปตลอดอายุสัมปทาน ทั้งสองบริษัทสามารถที่จะนำเงินส่วนแบ่งไปใช้จ่ายได้ก่อน เหลือแล้วจึงส่งกระทรวงการคลัง รัฐบาลในขณะนั้นได้แก้ปัญหาดังกล่าวนี้โดยการออกพระราชกำหนดภาษีสรรพ สามิต โดยผลของการออกพระราชกำหนดดังกล่าว ประกอบกับประกาศกระทรวงการคลังและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้บริษัทเอกชนคู่สัญญาคือเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ต้องส่งมอบส่วนแบ่งรายได้ 10 เปอร์เซนต์เข้ากระทรวงการคลังโดยตรง ส่วนอีก 15 เปอร์เซ็นต์ จ่ายให้คู่สัญญาของตน คือ ทีโอที ดีแทค และทรูมูฟ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าเอไอเอส ไม่ได้จ่ายน้อยลง เพราะยังจ่าย 25 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม @ ผมไม่เห็นว่ารัฐเสียประโยชน์ หรือ เอื้อ เอไอเอส. ประเด็นที่ว่ารัฐเสียประโยชน์หรือไม่นั้น ผมไม่เห็นว่าเสียประโยชน์เพราะเป็นเพียงการแก้ปัญหาสัมปทาน ในระหว่างที่ยังไม่มีการแปรรูป ส่วนเอื้อประโยชน์แก่เอไอเอส เพราะมีผลเป็นการกีดกันรายใหม่หรือไม่นั้น ถ้าสมมติว่าภาษีสรรพสามิต 10 เปอร์เซ็นต์นี้ยังอยู่ ถามว่า จะเป็นการกีดกันรายใหม่เข้าสู่ตลาดหรือไม่ ซึ่งเราต้องเข้าใจว่ารายใหม่ที่เข้าสู่ตลาด จะไม่สามารถเข้าทำสัญญากับหน่วยงานรัฐได้อีกแล้ว เพราะไม่มีองค์การโทรศัพท์และการสื่อสารฯ แล้ว แต่หน่วยงานทั้งสองได้กลายเป็นทีโอทีกับ กสท. โทรคมนาคมซึ่งไม่มีอำนาจให้สัมปทานอีกแล้ว แต่จะเข้าสู่ตลาดโดยการได้รับใบอนุญาตซึ่งแม้ว่าจะมีภาษีสรรพสามิต 10 เปอร์เซ็นต์ ต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหม่ก็ยังต่ำกว่าผู้ประกอบการรายเดิมอยู่ดี อำนาจในการอนุญาตให้การประกอบกิจการจะอยู่ที่องค์กรอิสระในทางปกครองที่ ตั้งขึ้นใหม่ คือ กทช. เมื่อรายใหม่เข้าสู่ตลาด ต้องขออนุญาตที่ กทช. ไม่ใช่ทำสัญญาสัมปทาน ซึ่งรายใหม่ จะมี ต้นทุนที่ให้กับรัฐซึ่งต่ำกว่าผู้ประกอบการรายเดิม อย่างไรก็ตามโดยที่รายใหม่ยังไม่มีฐานลูกค้า ฉะนั้น ยังไม่แน่ใจจะเกิดรายใหม่ได้สักเท่าไหร่ถ้าเทียบกับสัมปทานอันเดิม แต่ประเด็น อยู่ที่ว่า เราต้องทำให้สภาพ สามารถแข่งขันกันได้ แต่ถามว่าเป็นการกีดกัน หรือไม่นั้น ผมคิดว่าไม่ อย่างน้อยดูจากต้นทุนก็ไม่ใช่การกีดกัน แต่โอกาสแย่งลูกค้าต้องไปพิสูจน์กันในทางตัวเลข @อย่ามองข้าม ... มุมมองของผู้บริโภค
ส่วนสาเหตุที่ยังไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาดที่ผ่านมา เป็นปัญหาจากกฎหมายโทรคมนาคม ซึ่งไม่เกี่ยวกับภาษีสรรพสามิต คือคนที่มีอำนาจออกใบอนุญาตคือ กทช. ซึ่งผมเห็นว่า กทช.มีอำนาจทำได้ แต่ยัง มีปัญหาที่นักกฎหมายจำนวนหนึ่งเถียงกันอยู่ว่า กทช. ไม่มีอำนาจ เพราะยังไม่ได้ตั้ง กสช. ประเด็นคือ รัฐเองตั้ง กสช.ไม่ได้ เมื่อไม่มี กสช. จึงไม่มีคณะกรรมการร่วมมากำหนดแผนแม่บทคลื่นความถี่แห่งชาติ ทำให้เถียงกันว่าเมื่อยังไม่มีแผนแม่บทคลื่นความถี่แห่งชาติ กทช.จะออกใบอนุญาตได้หรือไม่ ดังนั้นไม่ใช่ประเด็นเรื่องภาษีสรรพสามิต แต่เป็น ประเด็นเรื่องอำนาจ กทช.ในการออกใบอนุญาต ซึ่งเป็นปัญหาของหน่วยงานของรัฐเองหรือการบริหารงานภาครัฐ ที่คุณตั้ง กสช. ไม่ได้ ทำให้ต้องมาถกเถียงกันถึงอำนาจของ กทช. ตอนที่ผมดูเรื่องโทรคมนาคม ผมมองจากมุมมองของผู้บริโภค ผมมองจากประสบการณ์ผมในการใช้โทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์บ้าน เมื่อก่อนนี้ยากเย็นมากในการขอเบอร์โทรศัพท์บ้าน แต่ต้องยอมรับว่าระบบตอนนี้มันดีขึ้นมากเลยเมื่อให้เอกชนเข้ามาลงทุนและยิ่ง ดีขึ้นเมื่อมีการแข่งขันกัน แต่การแข่งขันกันตอนนี้จริงๆ ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะเหตุผลเรื่องโครงสร้างระบบของรัฐมันยังไม่ดี แต่ดีกว่าให้รัฐกุมอำนาจผูกขาดแล้วบริหารกันไปในองค์การโทรศัพท์ เพราะโดยโครงสร้างของตัวระบบรัฐต้องสนับสนุนเงินลงทุน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงให้เอกชนเข้ามาลงทุน เข้ามาทำสัญญา แล้วมันจะส่งผลทำให้เกิดการแข่งขันกัน โทรศัพท์ก็เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น ประเด็นคือ บริษัทพวกนี้จะได้กำไรจากการประกอบการ ซึ่งบริษัทในโลกนี้ทุกบริษัท เวลาประกอบกิจการก็ต้องทำกำไร เป็นเรื่องปกติ เพราะจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีกำไร แต่การมุ่งหวังผลกำไรก็ต้องมุ่งหวังจากการแข่งขันกันกับคนอื่น กลไกตลาดก็จะช่วย รัฐก็ต้องดูกลไกตลาดต้องสร้างความสมดุล แต่ไม่ใช่ไปจัดการทุกเรื่องหรือไปคุมจนกลไกตลาดมันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งอันนี้ต้องดูให้รอบด้านและดูจากมุมมองผู้บริโภคด้วย ซึ่งคนบริโภคเขามุ่งหวังประสิทธิภาพจากการบริการ และค่าบริการที่ต่ำที่สุด ทีนี้วันนี้เงินค่าสัมปทานส่วนหนึ่งต้องส่งเข้าทีโอทีหรือ ทศท.โทรคมนาคม เพื่ออะไร @ ถ้าคุณจะเก็บภาษีจากตรงนี้ คุณเก็บเข้าคลังไป(เถอะ) ถ้าคุณจะเก็บภาษีจากตรงนี้ คุณเก็บเข้าคลังไปเถอะ (ผมไม่มีปัญหาอะไรเลยนะ) แล้วคุณปล่อยให้ TOT กับ CAT (กสท.โทรคมนาคม) แข่งกันกับคนอื่นเขาอย่างเต็มที่ มันต้องดูประสิทธิภาพการบริหารงานของหน่วยงานเหล่านี้ บัดนี้ ระยะเวลาที่จะผูกขาดโดยรัฐมันผ่านพ้นไปแล้ว ผมก็เสียใจกับพนักงานที่ทำงานในองค์การโทรศัพท์กับการสื่อสาร ว่า เขาไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่มีอำนาจของรัฐอีกแล้ว เขากลายเป็นผู้ให้บริการที่ต้องแข่งกับบริษัทเอกชนรายอื่นและการแข่งขันนี้ หากมันไม่มีประสิทธิภาพ คุณแข่งสู้เขาไม่ได้คุณก็จะแก่วง ที่สุดก็ต้องออกจากตลาด ก็เหมือนกับบริษัทที่เข้าสู่ตลาด ถ้าผมจะทำธุรกิจโทรคมนาคมวันนี้ ผมต้องแข็งแรงพอที่จะแข่งขันกับเขาได้นะ ซึ่งหมายถึงผมต้องมีบริการที่ดีให้แก่คนที่เป็นผู้ใช้บริการ ต้องตั้งฐานลูกค้า ต้องมีแคมเปญต่างๆ ต้องคิดการต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งลูกค้าและการรักษาฐานลูกค้านี่คือการต่อสู้ ทางธุรกิจ @ แย้งศาลฎีกาฯ กรณี pre -paid กรณีการทำ pre paid ว่า เดิมทีแอคเซสชาร์จ จ่าย 200 บาทต่อเบอร์ ซึ่งดีแทคกับทรูมูฟมีภาระตรงนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมกำไรของเอไอเอสจึงเยอะ เพราะว่าต้นทุนเขาน้อยกว่า คือเป็นปัญหามาตั้งแต่แรกในการเข้าสู่ตลาดที่ไม่พร้อมกันและอันนี้จะไปโทษเอ ไอเอสก็ไม่ได้เพราะเขาเข้าสู่ตลาดโดยทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์ก่อน พอตอนที่ดีแทคทำ pre-paid คือโทรศัพท์ที่ต้องจ่ายก่อน เป็นการซื้อบัตรเติมเงิน เขาก็พบว่าหากเป็นแบบนี้เขาจะประกอบกิจการนี้ไม่ได้แน่ เพราะคนใช้ pre-paid ปกติคือคนซึ่งฐานะทางเศรษฐกิจอาจจะไม่ดี เพราะอาจซื้อบัตรทีละ 50-100 บาท โดยหากเดือนไหนใช้ไม่ถึง 200 บาท เขาก็ขาดทุนแน่ๆ เพราะต้องจ่ายแอคเซสชาร์จทุกเดือน ดีแทคจึงขอแก้สัญญาขอลดราคาแอคเซสชาร์จ คุยไปคุยมาก็มีการลดให้เพื่อให้เขาแข่งขันได้ พอ เอไอเอส เห็นว่าดีแทคมีการขอแก้ไขได้ ก็ขอแก้ไขบ้าง แต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯบอกว่าไม่เกี่ยวกัน ซึ่งผมเห็นว่า ตรงนี้ฟังได้ ศาลบอกว่า เอไอเอสไม่มีค่าแอคเซสชาร์จ แล้วจะมาขอลดได้อย่างไร ทีนี้เมื่อมันไม่เกี่ยวกัน ก็คงต้องมองว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างของเอไอเอสที่จะเริ่มกระบวนการแก้ไข สัญญา การขอแก้ไขเป็นเรื่องธุรกิจ เหตุที่เอไอเอสขอแก้เป็นคนละเรื่องกับผล แล้วในการพิจารณาเหตุให้แก้ เหตุผลที่องค์การโทรศัพท์ยอมให้แก้อาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้ามองจากมุมขององค์การโทรศัพท์ ถ้าแก้ไขแล้วรัฐไม่ได้เสียประโยชน์และผู้บริโภคได้ประโยชน์ ก็แก้ได้ คือสัญญาเป็นเรื่องแก้กันได้ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่า คนไม่กล้าแก้สัญญา เพราะกลัวว่าแก้แล้วจะเป็นปัญหาไปหมด นี่เป็นปัญหาจากการบริหารราชการ เมื่อเอไอเอสขอแก้ คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์ (ทศท.) บอกว่า ถ้าจะแก้ ต้องไปลดราคาค่าบริการให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งเอไอเอส ยอมจ่ายตรงนี้น้อยลง แล้วไปลดราคาให้แก่ผู้บริโภค เขาก็ไปทำจริง มีค่าโทรลดลงช่วงหนึ่ง เพราะเอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งให้ทีโอทีลดลง เขาจึงสามารถลดราคาให้ผู้บริโภคได้ เมื่อลดราคาก็มีการแข่งขันในตลาด กลไกในตลาดก็เดิน แม้เป็นกลไกที่เอไอเอสยังได้เปรียบอยู่ เพราะเป็นผลพวงจากรัฐที่แบ่งรัฐวิสาหกิจเป็น 2 แห่ง ซึ่งไปโทษฝ่ายเอกชนไม่ได้ จะต้องดูภาพสมมติฐานปัญหาก่อน ถามว่า เอไอเอสลดราคา แล้วทำให้องค์การโทรศัพท์หรือปัจจุบันคือทีโอทีเสียประโยชน์ไหม คำตอบคือ ไม่เสีย เพราะหลังจากลดไปเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์แล้วทำให้ฐานลูกค้าเอไอเอสมากขึ้น มีรายได้จากการประกอบการมากขึ้น ทำให้ส่งส่วนแบ่งรายได้ให้ทีโอทีมากขึ้น ในภาพรวมจึงได้ส่วนแบ่งรายได้มากกว่าเดิม เป็นแบบนี้ทีโอทีไม่ได้เสียประโยชน์ @ ศาลฎีกา อ้างวิจัย ทีดีอาร์ไอ. ? ผมดูจากน้ำหนักของศาล ในคำพิพากษา ศาลให้น้ำหนักกับประเด็นของ อาจารย์สมเกียรติ อ้าง"อาจารย์สมเกียรติ" และบอกว่าอาจารย์สมเกียรติทำวิจัยต่างๆ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับส่วนแบ่งรายได้ของทีโอทีในคำพิพากษา นี่เป็น fact นี่เราไม่ได้เถียงเรื่องข้อเท็จจริงเลยนะครับ เพราะข้อเท็จจริงตรงกัน ศาลเองก็ยอมรับว่าทีโอทีได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ศาลก็บอกว่า เมื่อทีโอทีได้ประโยชน์มากขึ้น ทำให้เอไอเอสก็ได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย ลูกค้าก็มากขึ้น ซึ่งความจริงแล้วการที่ลูกค้ามากขึ้นเป็นเรื่องปกติในทางธุรกิจของตลาด และการขยายตัวของโทรคมนาคมยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว เป็นจุดที่คนยังต้องการใช้ไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่การแก้ไขดังกล่าวทีดอทีไม่ได้เสียประโยชน์มิหนำซ้ำได้ประโยชน์มากขึ้น เอไอเอสก็ได้ประโยชน์ และผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ด้วย เพราะราคาค่าโทรศัพท์ถูกลง
อาจารย์ทั้ง 5 ต้องการปกป้องหลักการ ในตอนท้ายของบทวิเคราะห์ฯ ฉบับเต็ม เราเขียนว่า "คณาจารย์ทั้งห้ายืนยันว่า ความเห็นต่างของเราเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไม่ยอมรับรัฐประหาร หลักการเคารพกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม หลักดุลยภาพแห่งอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายตุลาการ หลักความมั่นคงแห่งนิติฐานะและคุ้มครองความเชื่อถือไว้วางใจต่อการดำรงอยู่ ของกฎหมาย หลักการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ซึ่งหลักการทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งในนิติรัฐ-ประชาธิปไตย และคณาจารย์ทั้งห้ายืนยันที่ปกป้องหลักการทั้งหลายเหล่านี้อย่างสุดกำลัง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ" คำตอบอยู่ตรงนี้ อยู่ในย่อหน้าสุดท้ายของบทวิเคราะห์ นี่คือสิ่งที่เราทำ เราต้องการปกป้องตรงนี้ ทีนี้ก็มีคนมอง เช่น อาจารย์คณะผมบางคนเคยเขียนว่าเป็นองครักษ์พิทักษ์ปลวกหรือไง หรืออะไรสักอย่าง ผมมองว่าคนที่พูดแบบนี้ คือไม่เข้าใจ ในทางตรรกะคือแยกไม่ออกระหว่างความต้องการส่วนตัวของตนหรือรสนิยมทางการ เมืองของตน ความชอบความชังของตนกับหลักการในทางกฎหมาย การรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณในทางวิชาชีพกฎหมาย ความเป็นมืออาชีพ ความคิดอย่างนี้คือเอาความต้องการของตนเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาหลักการเป็นใหญ่ สังคมในยุคนี้จึงเป็นอย่างนี้
ชุมชนในอินเตอร์เน็ต ที่ด่าผม จริงๆ ผมฟังแล้วก็นึกสังเวชใจอยู่ว่าไม่ค่อยหาความรู้ คือสังคมไทย มันแห้งแล้งความรู้นะ มันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความเชื่อ อคติ ความเห็น โดยไม่มีฐานของความรู้เลย คือเรื่องบางเรื่อง เราอย่าเพิ่งไปพูดถ้าเราไม่รู้จริงหรือเรายังไม่ได้เข้าไปดูในเนื้อหา เราอาจจะพูดได้ ว่าเรื่องนี้เราไม่ชอบนายกรัฐมนตรีที่มีความพัวพันในเรื่องนี้ เราไม่ชอบเขา เราไม่เลือก การตัดสินใจทางการเมืองโดยผ่านการเลือกตั้ง ผมเคารพคะแนนเสียงของประชาชน ไม่มีปัญหา แต่ผมกำลังจะบอกว่าบัดนี้เป็นเรื่องกฎหมาย ซึ่งกฎหมายเป็นเรื่องเหตุผล ทีนี้มีคนบอกว่า แล้วศาลฎีกาฯ ตัดสิน คุณไม่เชื่อศาลเหรอ ผมคิดว่า ผมจะเชื่อศาลก็ต่อเมื่อผมอ่าน ตรรกะต่างๆ ซึ่งจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ใช่เรื่องอำนาจที่จะมาบังคับให้ผมเชื่อ อำนาจไม่สามารถทำให้คนเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่สามารถทำให้คนรักหรือบูชา ทำไม่ได้ทั้งสิ้น ผมต้องดูเหตุผล แล้วถามว่าความผิดพลาดมันมีไหม ขอให้นึกถึงคดีเชอรี่แอน ความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมมันเกิดขึ้นได้เสมอ เกิดขึ้นได้หลายลักษณะ อันนี้ไม่ได้พูดถึงในคดีนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าไปพูดถึงคดีนี้ แต่นึกถึงภาพรวมทั้งหมด กระบวนการยุติธรรมในช่วงเวลาหนึ่งภายใต้กระแสความคิดความเชื่อของคนใน สังคมอย่างหนึ่ง มันเป็นอย่างหนึ่ง นึกถึงสมัยกลางภายใต้ความคิดของศาสนจักร มันเป็นอย่างไร มนุษยชาติผ่านตรงนั้นมาแล้ว เราจึงใช้เหตุผล คุณค่าสูงสุดจึงเป็นคุณค่าที่เราเขียนเอาไว้ในย่อหน้าสุดท้ายของบทวิเคราะห์ ฉบับเต็ม ใครที่บอกว่าเราไปพิทักษ์อะไรแสดงว่ายังมองไม่เห็นคุณค่านั้น บางคนยังมองไม่เห็นเพราะใช้ความเชื่อของตัวเองเป็นใหญ่ อคติเต็มหัว @ อภิสิทธิ์ อ้างว่าที่มารัฐบาลถูกต้อง เหมือน สมัครและสมชาย มีคนบอกว่าถ้าคนเสื้อแดงจะค้านก็ค้านรัฐบาลสมัครกับสมชายด้วยสิ เพราะเป็นผลพวงของรัฐประหารเหมือนกัน คราวนี้ทำไมไม่แยกแยะ ละครับคราวนี้มองแต่รูปแบบแต่ ไม่ได้มองเนื้อของเรื่องว่ามายังไง ผมว่าเรื่องนี้นี่พูดก็พูดไม่ต้องเกรงใจ คุณอภิสิทธิ์ รู้ตัวดีที่สุด ว่าตัวเองมายังไง ถามใจคุณอภิสิทธิ์ ในใจคุณอภิสิทธิ์เองว่า รัฐบาลนี้เกิดขึ้นยังไงแบบแฟร์ๆ ไม่ต้องพูดถึงกรณีที่สื่อลงข่าวกันว่าตั้งรัฐบาลกันที่ไหน แต่ผมถามว่าถ้าไม่มีการยุบพรรคพลังประชาชน จะเกิดรัฐบาลนี้ขึ้นได้ไหม ถามว่ากระบวนการพิสูจน์ว่าพรรคพลังประชาชนทุจริตการเลือกตั้ง มีกระบวนการอย่างไร แล้วกลไกรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่นั้นมันเป็นธรรมไหม ที่คนคนเดียวทำผิดแล้วยุบพรรค รวมทั้งตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคที่ไม่เกี่ยวข้อง มันเกิดจากหลักเกณฑ์ที่ยุติธรรมไหม ถามว่า คดีที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ 2-3 เรื่อง มันเป็นอย่างไร มันช้ามันเร็วอย่างไร นี่มีคนบอกว่าเขากำลังทำอยู่ รวมทั้งอธิการบดีของผมก็บอกว่ากำลังนี่เขากำลังทำอยู่ ช้าหน่อยไม่เป็นไร แต่ผมมองว่ากระบวนการทั้ง 2 กระบวนการ อันหนึ่งแล่นอย่างกับรถด่วน แต่อีกกระบวนการหนึ่งไปอย่างกับซาเล้ง ถ้าคุณทำใจเป็นกลางๆ ประเด็นนี้ที่เสื้อแดงพูดว่า 2 มาตรฐาน ก็เป็นเรื่องเห็นๆกันอยู่จะปฏิเสธยังไง ลองสมมติแบบไม่ดูหน้าคนสิ ลองสมมติแบบนายเอ นายบี มีเพื่อนผมสอนกฎหมายมหาชน เวลาสอนไม่บอกว่าหมายถึงใครแต่ตั้งเป็นปัญหาตุ๊กตาสมมติ ลอยๆ ขึ้นมาแล้วถามนักศึกษา ปรากฏว่านักศึกษา บอกว่ามันไม่ได้ ไม่ถูกต้อง อย่างงั้นอย่างงี้ มันผิดหลักหมด พอเฉลยมาก็อึ้งกันหมด บอกว่าคนที่ทำอย่างนี้คือ.... ก็อึ้งกันหมด คือไปกันไม่ถูก เพราะคิดถึงหน้าคนอยู่ตลอดเวลาในการตัดสิน ไม่ได้คิดถึงระบบเรื่องหลัก ถึงบอกว่า คุณ เทียบไม่ได้เลย การเลือกตั้ง 23 ธ.ค. เป็นการเลือกตั้งภายใต้ร่มเงาของรัฐประหารอยู่ รัฐบาลมาจาก คมช. ส่วน กกต. ก็มาจากผลพวงของการรัฐประหาร แม้ว่าจะตั้งจากคนที่ศาลฎีกาเลือกมา แต่ภายใต้บริบทต่างๆ เราจะเห็นได้ว่ากลิ่นอายบรรยากาศของรัฐประหาร มันยังอยู่ ภายใต้ความเสียเปรียบของพรรคพลังประชาชน นี่พูดกันแฟร์ๆ แล้วทำไมเขาได้คะแนนมาเกือบครึ่ง แปลว่าคนเลือกพรรคนี้มันโง่เหรอ มันไม่ฉลาดเลย เคยเลือกพรรคไทยรักไทยมาแล้วเลือกพรรคนี้อีก มันโง่เหรอ ต้องเลือกอีกพรรคหนึ่งใช่ไหมถึงจะฉลาด ต้องเอาอย่างงั้นใช่ไหมประเทศนี้ คือถ้าเลือกพรรคนี้มันโง่ ต้องเลือกอีกพรรคหนึ่งเท่านั้นคุณถึงจะเป็นคนฉลาด ดูดีมีชาติตระกูล นี่ผมกำลังอธิบายแบบไม่ต้องมีอคติอะไร ไม่ต้องดูหน้าเลย ก็คนเขาเลือกและนี่คือการตัดสินใจทางการเมือง เสร็จแล้วมีคนบอกว่ามีเรื่องซื้อเสียง ผมถามว่าการซื้อเสียงมันพิสูจน์ยังไง ก่อนรัฐประหารก็บอกว่าได้มาจากการซื้อเสียง หลังรัฐประหารแล้วไง ยังได้มาจากการซื้อเสียงภายใต้ความคุมเข้มของ กกต. อย่างงั้นเหรอ หรือเป็นเพราะคนเขาเลือกยังไงเขาก็เลือก เขาจะบอกว่าเขาเลือกอย่างนี้ ไม่สนใจว่าคนกรุงเทพฯจะบอกว่าผมโง่ จะทำไมผม มันเป็นสิทธิ์ ของผม ผลก็ออกมาเป็นอย่างงั้น เกือบครึ่ง มันก็บีบพรรคอื่น คุณบรรหาร ก็ยังบอกว่า ถ้าได้มาถึงขนาดนี้มันช่วยไม่ได้นะ เพราะถ้าไปรวมกับประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล ก็ไม่มีเสถียรภาพหรอก ซึ่งมันก็ถูกของเขา เขาถึงไปร่วมกับพรรคพลังประชาชน ต่อมาจึงมีเหตุยุบพรรค ยุบแล้วถึงแตก แล้วแตกยังไงอีกหน่อยประวัติศาสตร์ก็บอกเอง และรัฐบาลเกิดขึ้นจากตรงนี้ รัฐบาลสมัคร สมชาย เป็นผลโดยตรงมาจากการเลือกตั้ง ส่วนรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ไม่ใช่ผลโดยตรง แต่เป็นผลจากการยุบพรรคพลังประชาชนในขณะที่มีผู้ยึดสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ @ คนรักประชาธิปไตย รับไม่ได้ หรอกครับ
@ ถ้าอาจารย์เป็นอภิสิทธิ์ จะนำสังคมออกจากความขัดแย้งได้อย่างไร
เพราะทุกพรรคการเมืองต้องคิดว่าคนที่พรรคการเมืองจะต้องรับใช้คือ ประชาชน ไม่ใช่อื่นใดทั้งสิ้น ในระบอบนี้ต้องถือว่าประชาชนสูงสุด ดังนั้นผมสมมติตัวเองเป็นคุณอภิสิทธิ์ในเวลานี้ไม่ได้ เพราะมันจะไม่เป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก มันจะไม่มาถึงจุดแบบนี้ @บ้านเมืองมีทางออกไหม สถานการณ์เช่นนี้ ผมว่า ยากครับ ก็ผมบอกมาตั้งแต่ตอนรับรัฐธรรมนูญแล้วครับ ว่ารัฐธรรมนูญเป็นอย่างนี้มันจะสร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองร่ำไป มันไม่มีทางออก ถ้ากติกาพื้นฐานยังเป็นแบบนี้อยู่ @ ถ้าจะแก้ปัญหาต้องแก้รัฐธรรมนูญ ใช่แต่ว่าการแก้รัฐธรรมนูญหรือที่จริงคือทำรัฐธรรมนูญใหม่มันเป็นเพียงประเด็น อันหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นส่วนสำคัญ เพราะรัฐธรรมนูญอย่างเดียวมันไม่พออยู่แล้ว และบรรดาอำนาจซึ่งไม่เข้าสู่ระบบทั้งหลายทั้งปวงต้องหยุดได้แล้ว รู้ตัวกันดีอยู่ @พลังในสังคมบางส่วนกำลังเคลื่อนไหว ให้สมานฉันท์ ให้ยุติความรุนแรง เชื่อพลังสังคม พวกนี้ไหม พลังนี้ออกมาได้ยังไง ผมประหลาดใจมากกับพลังแบบนี้ คือ "พลังขาวเนียน" นี่พูดจริงๆ คำนี้อาจารย์พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์มั้ง ที่ใช้คำนี้ ผมชอบจริงๆ คำนี้ คือ พอเห็นว่าแบบที่เคยสู้ๆ มามันไปไม่ได้ ก็มาเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนเนียน พอเห็นแดงมาเยอะหน่อย คุณก็มาเรียกร้องสันติ อะไรกันอีกแล้ว คือ ช่างเลือกเวลาเรียกร้องกันจริงๆ มันไม่ใช่ คือถ้าคุณจะพูด คุณต้องดูบริบทความเป็นมาก่อน คุณกระทืบเขา คุณจัดการกับเขาโดยกลไกที่มันเป็นปัญหา ที่สืบเนื่องมาจากรัฐประหาร พอเขามีพลังขึ้นมาบ้าง เขาสู้ขึ้นมาบ้าง คุณกลับบอกว่า เออๆๆ สันติ สมานฉันท์ อย่าใช้ความรุนแรง แล้วตอนที่คุณจัดการเขานี่ มีความรุนแรงที่ไม่ใช่ความรุนแรงทางกายภาพเนี่ย มันเป็นความรุนแรงในเชิงระบบที่คุณปฏิเสธอำนาจที่เขาเลือกตั้งของเขามา คุณทำรัฐประหาร สนับสนุนการรัฐประหารแบบอ้อมๆ เนียนๆ เขาเลือกรัฐบาลมาคุณก็ไปล้ม นี่พูดแบบแฟร์ๆ นะ เออ พูดไปพูดมากลายเป็นว่าคนมองว่าผมเป็นแดงแล้ว แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมพูดความจริง ผมพูดจากสิ่งที่ผมเห็น พูดจากหลักการ หลักการที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้ สีที่คนอื่นป้ายให้ไม่อาจทำลายหลักการตรงนี้ได้หรอก
การยุบสภาไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งหมดไป แต่จะช่วยทำให้มันมีหนทางมากขึ้นในเชิงของการเจรจากันในวันข้างหน้า ในการพูดกันถึงการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ หรือการรีฟอร์มกันใหม่ เซท กันใหม่ มันเปิดทางในแง่นี้ เพราะเราต้องยอมรับว่า รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เกิดจากการไปล้ม 2 รัฐบาลแล้วเกิดการเปลี่ยนขั้ว และไม่ได้เกิดขึ้นมาจากในระบบธรรมดา แต่เกิดขึ้นมาจากการยุบแล้วบีบ แล้วเปลี่ยน ไปถามคนที่เขาเปลี่ยนสิ เพราะอะไรเขาถึงเปลี่ยน พูดกันจริงๆ คือสังคมนี้ มันพูดกันไม่สุด คือไม่พูดกันว่าทำไมคุณถึงเปลี่ยนละ มันเกิดอะไรขึ้น คุณถูกใครบีบ กล้าพูดกันไหมล่ะครับเรื่องแบบนี้ ในสังคมนี้ ผมว่า ปัญหาในสังคมนี้มันจะไม่หมดเลยถ้าเรายังพูดกันแบบนี้ เรายังมีเพดานอยู่ตลอดเวลาในการพูดแล้วเราก็อยู่กันตรงนี้ ที่หนักไปกว่านั้นก็คือสำหรับคนจำนวนไม่น้อยยังมีเพดานในการคิดด้วยส่วนคน ที่เห็น คนที่คิด ก็พูดกันนอกรอบไม่สามารถพูดในสาธารณะได้ เพราะมีข้อจำกัดอยู่ แล้วจะแก้ปัญหาได้ยังไง
เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ถูกถ่วงมาตลอด เวลาจะแก้ที ก็มีคนบอกว่าอย่าแก้ เพราะแก้เพื่อประโยชน์พรรคการเมือง และก็มีกลุ่มพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ความจริง บางคนตอนทำรัฐธรรมนูญก็บอกว่ารับๆ ไปก่อน เคยไปดีเบทกับผม ผมยังจำได้ เขาบอกว่าสมู๊ทที่สุดคือรับไปก่อน แล้วพอรับเสร็จแล้วค่อยมาแก้ พอจะแก้ปุ๊บวันนี้บอกว่าแก้ไม่ได้ เพราะแก้ไปจะไปเอื้อประโยชน์นักการเมือง นี่คนพวกนี้เขาเป็นแบบนี้และเป็นคนระดับปัญญาชน คนนำสังคม แล้วจะนำสังคมได้ยังไง ในเมื่อคุณยังพูดกลับไปกลับมา ยังกลับกลอกอย่างนี้ คือผมไม่มีปัญหาเลยนะ เมื่อรัฐธรรมนูญผ่านประชามติมาแล้ว ผมก็ยอมรับว่ามันผ่าน แต่สามารถแก้ไขได้จากกฎเกณฑ์การแก้ไขที่อยู่ในรัฐธรรมนูญนั่นแหละ แต่พอจะแก้แล้วมาบอกว่าห้ามแก้ นี่มันมากไปแล้ว ผมถามหน่อยว่ารัฐธรรมนูญเป็นของคุณคนเดียวเหรอ แล้วอย่าอ้างว่าแก้เพื่อผลประโยชน์พรรคการเมือง เพราะคนที่ค้านก็ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ บางคนได้ประโยชน์ไปดำรงตำแหน่งที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไปเป็น สว. สรรหาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทีตัวเองได้ประโยชน์ทำไมไม่พูด ถ้าคุณพูดเรื่องผลประโยชน์ คุณควรจะอายตัวเองบ้าง คุณพูดเรื่องหลักการสิ ว่าหลักการที่ควรจะเป็นในทางประชาธิปไตยเป็นยังไง ถ้าประโยชน์เกิดจากหลักการที่ถูกต้อง คุณต้องยอม ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่ในวังวนแบบนี้ ทีนี้เวลาอ้างการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน ก็จะถูกมองว่าเป็นการซื้อเวลาให้รัฐบาลแล้ว คนที่อยู่อีกฝ่ายหนึ่งจะยอมหรือ
ก็เป็นไปได้ เพราะแบกน้ำหนัก เสื้อแดงชุมนุมเหมือนนักมวยขึ้นชก สู้แบบแบกน้ำหนัก คุณสู้กับใครละ
ก็เป็นไปได้นะ
เบื้องต้น คุณอาจจะปรับเพราะกลไกระยะสั้นที่สุด เรื่องระบบเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามระบบ ก็ทำให้มันเคลียร์ ถ้าจะทำจริงๆ เดือน 2 เดือนก็เสร็จ แก้ซะตรงนี้ไปเปลาะหนึ่งก่อน จากนั้นก็ไปสู่การเลือกตั้ง แคมเปญสู้กัน แล้วรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ควรจะรีฟอร์มใหม่ไหม ทั้งฉบับ หรือไม่ก็คุยกันเรื่องเงื่อนเวลาในการยุบสภา ว่าจะยุบและจัดการเลือกตั้งภายในเวลาเท่าไหร่ นี่คือประนีประนอมที่สุดที่จะเป็นไปได้
สำหรับผม ผมนับถือท่านผู้ประศาสน์การ(ปรีดี พนมยงค์) มาก และนี่ไม่ได้พูดถึงคุณทักษิณ จะพูดถึงแต่ท่านผู้ประศาสน์การ ไม่โยงกับคุณทักษิณ ผมคิดว่าท่านผู้ประศาสน์การไปอยู่เงียบๆ ในต่างประเทศนั้น อาจจะเป็นความผิดพลาดก็ได้ ผมขออภัยผู้ที่นับถือท่านผู้ประศาสน์การ ผมก็นับถือท่านผู้ประศาสน์การ และเห็นว่าท่านมีคุณูปการอย่างมากแก่สังคมไทย แต่นี่เป็นการประเมินของผม ขณะที่ท่านอาจจะมีความจำเป็นที่ต้องเป็นอย่างนั้น ซึ่งถ้าผมเห็นความจำเป็นอันนั้นของท่าน ผมอาจจะไม่ประเมินอย่างที่ประเมินก็ได้ แต่โดยเหตุที่ผมไม่เห็น ผมจึงรู้สึกว่าการที่ท่านไปอยู่ต่างประเทศเงียบๆในอีกมุมหนึ่งก็ส่งผลทำให้ ภารกิจการอภิวัฒน์ขาดช่วงไป ไม่บริบูรณ์ แต่แน่นอนถ้าคิดถึงชีวิตครอบครัวของท่าน ข้อจำกัดในการต่อสู้ คิดถึงสิ่งเหล่านี้ประกอบกันก็คงโทษท่านไม่ได้ สังคมไทยอาจจะมองว่าดี แต่ผมกลับมองอีกด้านว่า ในที่สุดสังคมไทยยังไม่ไปไหน บางทีบทบาทอีกมุมหนึ่งที่ท่านไม่ได้ทำ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดหลายอย่างที่ผมไม่รู้ มันอาจจะทำให้สังคมไทยไปไกลกว่านี้แล้วในเวลานี้ ความจริงท่านปรีดี ท่านสู้ จนถึงเกิดกบฏวังหลวง ปี 2492 นี่คือการสู้ แต่กำลังท่านไม่พอ ท่านแพ้ และแน่นอนว่าความสะเทือนใจของท่านอาจจะหลายอย่าง คนหลายๆ คนซึ่งเป็นเพื่อนร่วมต่อสู้ของท่านจบชีวิตไปในการต่อสู้ ซึ่งผมเข้าใจได้ในแง่ความเป็นมนุษย์ และท่านเลือกอย่างนั้น ผมเคารพในการตัดสินใจของท่าน ท่านอาจอยากจะทำ แต่ท่านประเมินแล้วว่ากำลังไม่พอ ความจริงหลายอย่างมันจึงไปพร้อมกับตัวท่าน สังคมนี้ก็ยังกลายเป็นสังคมที่เรายังไม่พูดความจริงอย่างถึงที่สุด ส่วนเรื่องของคุณทักษิณ นั้น ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันอะไรกับท่าน ผมทำในส่วนที่เป็นวิชาชีพวิชาการของผม ถ้าคุณทักษิณได้ประโยชน์จากหลักการที่ผมพูด อันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับผม แต่เราต้องไม่ลืมนะว่าบริบททางการเมืองสมัยท่านปรีดีกับคุณทักษิณแตกต่างกัน ผมคิดว่าระบบมันคงจะเซทไปเอง ในทางวิชาการ เราก็ให้ความรู้จากหลักที่ถูกต้อง ไม่ได้เอาความคิดความเชื่อของตัวเท่านั้นเป็นใหญ่ ก็ใช้ความรู้ให้มาก ผมก็ยังต้องสำรวจตรวจสอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา คุยกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ดูเหตุดูผลอยู่ตลอดเวลา ชีวิตที่ไม่มีการตรวจสอบเป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่า โสเครติส บอกเอาไว้ เมื่อสักสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว ผมไม่ได้สนใจตำแหน่งทางบริหาร คือผมอยากทำงานวิชาการ ฉะนั้น ผมพูดได้โดยที่ผมไม่ต้องสนใจว่าผมจะได้เป็นอะไร หรือไม่ได้เป็นอะไร วันนี้ตำแหน่งทางวิชาการ ก็ไม่ได้อยู่ในความอาลัยของผมเลย ตั้งแต่จะต้องวิวาทะกับหลายท่านในวงการนิติศาสตร์ ผมอาจจะไม่ต้องเป็นศาสตราจารย์เลยในชีวิตของผม ผมไม่มีปัญหาเลยกับเรื่องพวกนี้ ถ้าการไปอาลัยอาวรณ์ต่อตำแหน่งเหล่านั้น มันไม่สามารถทำให้เราแสดงความเห็นให้กับสังคมได้อย่างบริสุทธิ์ ได้อย่างอิสระ ก็ไม่ต้องหรอก เพราะชีวิตคนเรามันมีอะไรมากอยู่ได้อีกสักกี่ปี อีก 20 ปี ผมก็จะเกษียณ
ก็เป็นครูสอนกฎหมาย ที่เคารพในหลักการที่สอน และทำตามที่ตัวเองเชื่อในหลักการที่สอน @ วันข้างหน้าจะเล่นการเมืองไหม เราไม่รู้อนาคต มีคนถามเมื่อหลายปีก่อน ผมบอกว่าผมตอบไม่ได้หรอก เขาก็ถามว่าแสดงว่าใจก็คิดอยู่สิว่าจะเล่น เออก็แล้วแต่คนจะคิด คือเราจะไปพูดอะไรให้มันไปเป็นเรื่องฟันลงไปร้อยเปอร์เซ็นต์ยังไง เราไม่รู้ชีวิตของเราข้างหน้า ที่จะเดินไปในวันต่อๆ ไปจะเป็นยังไง ผมรู้แต่ว่าวันนี้มีความสุขในการสอนหนังสือ พอใจกับสถานภาพชีวิตที่เป็นอยู่ และใช้วิชาที่เรียนรู้มาทำงานให้สังคมเท่าที่ทำได้ ส่วนวันข้างหน้า ก็ปล่อยให้เหตุปัจจัยเป็นเครื่องกำหนดดีกว่า อย่าเอาคำตอบว่าเล่นหรือไม่เล่น ผมไม่รู้หรอก ถ้าเหตุปัจจัยเป็นอย่างนี้ ผมก็อยู่อย่างนี้ ผมไม่รู้ว่าผมจะเหมาะกับการเมืองแค่ไหน เพราะผมรักในวิชาการ มีความสุขที่ได้คิดทางวิชาการ ได้สอนหนังสือ การทำบทวิเคราะห์คำพิพากษา ก็ไม่ได้ทำให้ผมได้อะไรจากการทำตรงนี้ ไม่ได้เอาไปขอปริมาณการทำงานหรือตำแหน่งทางวิชาการ เพราะนี่คือการทำเปล่า ทำด้วยใจรักเพื่อที่จะบอกกับสังคม ความจริงผมกับเพื่อนอีก 4 คนอาจจะไม่ทำเลยก็ได้ ก็รออยู่เหมือนกันว่าใครจะออกมาพูดเรื่องเนื้อหาไหม เมื่อไม่มี ผมคิดว่าจะปล่อยให้สังคมไปแบบนี้ไม่ได้
(หัวเราะ) ก็ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องสาธารณะ ถ้ามัวแต่คิดว่าใครจะได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ หรือกลัวคนจะว่าว่ารับเงิน กลัวคนว่าว่าใกล้ชิดทักษิณ กลัวคนว่าอยากดัง กลัวคนว่าว่าร้อนวิชา ก็จะทำให้เราทำอะไรไม่ได้เลย คำถามคือเวลามองตัวเองในกระจกแล้วละอายตัวเองหรือเปล่า คุณซื่อสัตย์ต่อมโนธรรมของคุณไหม คุณได้อะไรไหม คุณเป็นอย่างที่เขากล่าวหาไหม ถ้าคุณไม่เป็นก็คือไม่เป็น ถ้าเราใสเหมือนกระจกก็คือใสเหมือนกระจก เรื่องแบบนี้ อย่างที่บอกว่า อาจารย์ 5 คนเนี่ย ถ้ามีนอกมีใน มันไม่กล้าทำหรอก จะเอาเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเองไปแลกทำไม แต่เพราะว่าเราไม่มีอะไรเลย เราถึงกล้า ใช่ว่าจะมีอนาคตนะ 5 อาจารย์นี้(หัวเราะ) คุณวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ คุณวิจารณ์ศาลปกครองสูงสุด คุณวิจารณ์ศาลฎีกา คุณวิจารณ์ระดับ Top ของวงการนิติศาสตร์ไทย วงการกฎหมายไทย คุณจะเหลืออนาคตอะไร @ อาจารย์ วรเจตน์ ห่วงอะไร ตัวผมไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ ผมก็อยู่ของผมไปอย่างนี้ แต่ผมห่วงอาจารย์รุ่นน้องผมถ้ากลับมาจากต่างประเทศ คือผมนับถือน้ำใจของเขานะ แต่นี่คือทางที่ผมและเพื่อนเลือกเดิน รู้แต่ว่าเรารักในวิชา เราอยากบอกความจริงแก่สังคม บางคนบอกว่าศาลพิพากษาไปแล้วไม่ทำให้จบเหรอ แต่ผมคิดว่าสังคมควรสว่างไสวในทางปัญญา ปัญญาจะไม่เกิดถ้าไม่มีความคิดต่าง ไม่มีการถกเถียงด้วยเหตุผล ผมหวังว่ากลุ่ม 5 อาจารย์จะเป็นพลังเล็กๆ ให้คนได้ฉุกคิด เรื่องไหนเราถูกไม่ถูกก็ว่ากันมาด้วยเหตุด้วยผล แต่เราไม่มี ไม่เคยรับผลประโยชน์ใดๆ จากใครทั้งสิ้น
@ อาจารย์วรเจตน์ ตั้งคำถาม ให้สังคมคิด แต่กระแสพัดแรงขนาดนี้ ใครจะฟัง
ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมคิดว่าคนในวงการเขาก็รู้กันอยู่ว่าเป็นยังไง ก็เหมือนที่ผมถูกป้ายเป็นพวกทักษิณไง ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ จะป้ายก็ป้ายไป http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269515311&grpid=&catid=02 |
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น