อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Bookmark and Share
Bookmark and Share

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

ไขปม!คำวินิจฉัยส่วนตน ทำไม "2 ผู้พิพากษา" ศาลฎีกาฯฟันธงต้องยึดทรัพย์ "ทักษิณ"เรียบวุธ 76,000 ล้าน


นายไพโรจน์ วายุภาพ


นายกำพล ภู่สุดแสวง

วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:06:22 น.  มติชนออนไลน์

ไขปม!คำวินิจฉัยส่วนตน ทำไม "2 ผู้พิพากษา" ศาลฎีกาฯฟันธงต้องยึดทรัพย์ "ทักษิณ"เรียบวุธ 76,000 ล้าน

หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"- เป็นบางส่วนของคำวินิจฉัยส่วนตนของนายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกาและ นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา 2 ผู้พิพากษาในองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 46,000 ล้านบาท โดยผู้พิพากษาทั้ง 2 รายดังกล่าวมีความเห็นว่า ควรยึดทรัพย์ ทั้งหมด 76,000  ล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ณ ป้อมเพชร อดีต ภรรยา ด้วยเหตุผล 2 ประการ


ประการแรก  ไม่จำต้องแยกทรัพย์สินที่พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 มีอยู่ก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออกไปแต่อย่างใด เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณดำเนินการที่ต้องห้ามโดยแจ้งชัด และเมื่อได้รับการไต่สวนโดยกระบวนการทางศาลโดยชอบแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ ตามข้อกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับได้รับทรัพย์สินที่เป็นฐานที่ใช้ในการกระทำผิดกลับคืนไป ย่อมจะไม่อาจบรรลุเจตนารมณ์ของการให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเนื่องจากการ ร่ำรวยผิดปกติได้เลย


 ประการสอง  พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1(คุณหญิงพจมาน) ใช้หุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปฯ ตลอดมา มิใช่เพียงแต่ถือหุ้นโดยฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายเท่านั้น แต่ได้ใช้หุ้นที่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ถือครองอยู่เป็นปัจจัยสำคัญในการแสวงหาผลประโยชน์ หาก คืนส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 อ้างว่า  มีอยู่ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ยอมขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ส่งผลให้ผู้ที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติแห่งกฎหมายเช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย


ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดของเหตุผลในคำวินิจฉัยส่วนตนของผู้พิพากษาทั้ง2 คน

------------------------------------------


นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา


การกระทำอันไม่สมเหตุสมผลและมิชอบด้วยกฎหมายเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ ตนเองในระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาตลอดดังที่ได้วินิจฉัยไปข้างต้น และในระหว่างที่พ.ต.ทงทักษิณ เป็นหัวหน้ารัฐบาลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เสนอกฎหมายแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544  จนผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และออกเป็น พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549 ซึ่งได้แก้ไข (1)  ของมาตรา 8 วรรคสามแห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม  เป็นผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมต้องมิใช่เป็นคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการ ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และไม่มีบทบัญญัติให้ต้องมีกรรมการไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และผู้มีอำนาจกระทำการผูกพันนิติบุคคลนั้นต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย


พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549 ที่ได้แก้ไขได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2549 มีผลใช้บังคับในวันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2549 ต่อมาวันที่ 23 มกราคม 2549  พ.ต.ท. ทักษิณได้รวบรวมหุ้นจำนวน 1,419,490,150 หุ้น ขายให้แก่กลุ่มเทมาเส็กแห่งประเทศสิงคโปร์ได้จำนวนเงินสุทธิหลังจากหักค่า ใช้จ่ายแล้วรวม 67,722,880,932.05 บาท และตั้งแต่ปี 2546 ถึงปี 2548 บริษัทชินคอร์ปจ่ายเงินปันผลตามหุ้นจำนวนดังกล่าวเป็นเงิน 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินที่ได้รับเนื่องจากหุ้นดังกล่าวทั้งหมด 76,621,603,061.05 บาท


ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาซึ่งมีภาระการพิสูจน์ว่า ทรัพย์หรือเงินที่ได้มาดังกล่าวนั้นมิได้เป็นทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติหรือ เกิดขึ้นจากการร่ำรวยผิดปกติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 81 วรรคสอง พ.ร.บ.บัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 35 วรรคหนึ่ง นั้นก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ให้รับฟังได้ว่าเงินที่ได้รับเนื่องจากหุ้นทั้ง หมดดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นจากความร่ำรวยผิดปกติ


ดังนั้นเงินดังกล่าวพร้อมดอกผลทั้งหมดจึงถือ ได้ว่า เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติการตามหน้าที่หรือ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ และเป็นการได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวม โดยเป็นทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร่ำรวยผิดปกติโดยไม่สมควรสืบเนื่องจาก การปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งจะต้องตกเป็นของแผ่นดินเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณร่ำรวยผิดปกติ โดยเงินที่ได้จากการขาย หุ้นบริษัทชินคอร์ปและเงินปันผลที่ได้รับเนื่องจากการถือหุ้นบริษัทชินคอร์ ปซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้ อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณ และจะต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินเสียทั้งสิ้น


ทั้งนี้ตามประกาศคณะปฏิรูการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ประกอบพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 80 และมาตรา 81

 

ส่วนในปัญหาที่ว่า ทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณที่มีอยู่ก่อนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีจำนวน เท่าใด และจะต้องนำมาหักออกจากทรัพย์สินที่จะต้องตกเป็นของแผ่นดินก่อนหรือไม่นั้น


 เห็นว่า มูลเหตุและทรัพย์สินที่คณะกรรมการตรวจสอบได้ชี้มูลความผิดและที่ผู้ร้อง (อัยการสูงสุด)ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามคำร้องตกเป็นของแผ่นดินนั้นเกี่ยวกับเรื่อง ที่ในระหว่างที่พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติกรรมที่มีทรัพย์เพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร่ำรวยผิดปกติโดยพ.ต.ท.ทักษิณ และผู้คัดค้านที่ 1 (คุณหญิงพจมาน)คู่สมรสยังคงร่วมกันถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่มีการถือครองมา ก่อนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้มีการร่วมกัน ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ เพื่อทำให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้ถือครองหุ้นบริษัทชินคอร์ปและมิได้เกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าวอีก แล้วมาตั้งแต่ก่อนที่ผู้ถูกกล่าวหาจะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีออกมาตรการในรูปแบบต่างๆ กันไปเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์แก่กิจการในเครือบริษัทชินคอร์ปที่พ .ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 คู่สมรสยังคงถือครองหุ้นอยู่ดังกล่าวต่อเนื่องมาจนกระทั่งได้มีการรวบรวม หุ้นบริษัทดังกล่าวขายออกไปทั้งหมด ซึ่งเป็นผลให้พ.ต.ท.ทักษิณได้รับเงินค่าขายหุ้นและผลประโยชน์จากการถือครอง หุ้นคือเงินปันผล ผู้ร้องจึงได้ร้องขอให้เงินดังกล่าวพร้อมดอกผลทั้งหมดอันได้รับมาสืบเนื่อง จากการถือครองหุ้นดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ และผู้คัดค้านที่ 1 เป็นฝ่ายที่มีภาระการพิสูจน์ว่า เงินที่ได้มาดังกล่าวมิได้เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติหรือเกิดจากการ ร่ำรวยผิดปกติ


แต่พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 กลับคัดค้านปฏิเสธว่า มิใช่หุ้นหรือเงินหรือทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ได้มีอยู่เท่าใดในช่วงเวลาก่อนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือในช่วงเวลา หนึ่งเวลาใดหลังจากนั้น และถือได้ว่า เงินที่ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปและประโยชน์จากการที่ยังคงถือครองหุ้นดังกล่าว ไว้คือเงินปันผลพร้อมดอกผลทั้งหมดเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการที่มี ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือการร่ำรวยผิดปกติซึ่งจะต้องตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 80


ทั้งทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้ร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดินในคดีนี้เป็น หุ้นซึ่งมูลค่าของหุ้นมีความไม่แน่นอน การขึ้นลงของราคาหุ้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง และหุ้น บริษัทชินคอร์ปที่ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ยังคงร่วมกันฝ่าฝืนถือหุ้นนั้นไว้นี้ย่อมถือได้ว่า เป็นฐานให้ผู้ถูกกล่าวหาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่ง หน้าที่ดำเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้หุ้นดังกล่าว


 เพราะหากไม่มีหุ้นดังกล่าวอยู่ในขณะที่พ .ต.ท.ทักษิณ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ย่อมที่จะมีการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจใน ตำแหน่งหน้าที่ในกรณีทั้งห้าตามข้อกล่าวหาเพื่อเอื้อประโยชน์ไม่ได้


หรือในทางกลับกันหากพ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ได้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปอยู่ แต่พ.ต.ท.ทักษิณมิได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่อาจที่จะเกิดการ ปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนก่อให้เกิดความเสียหาย แก่รัฐ และเป็นเหตุให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้


ส่วนทรัพย์สินที่ได้มาสืบเนื่องมาแต่การปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจ ในหน้าที่นั้นหากไม่มีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปออกไป ทรัพย์สินที่จะต้องตกเป็นของแผ่นดินก็คือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปที่พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ได้ร่วมกันฝ่าฝืนถือไว้และเป็นทรัพย์สินที่พ.ต.ท.ทักษิณได้มาสืบเนื่องมาจาก การปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นั่นเองที่จะต้องตกเป็นของ แผ่นดิน


แต่เมื่อได้มีการขายหุ้นดังกล่าวออก ไปทั้งหมดเสียแล้วทรัพย์สินที่จะต้องตกเป็นของแผ่นดินก็คือเงินที่ได้จากการ ขายหุ้นและเงินปันผลที่ได้รับจากหุ้นดังกล่าวพร้อมดอกผล


ดังนั้นจึงไม่จำต้องแยกทรัพย์สินที่พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 มีอยู่ก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออกไปแต่อย่างใด เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ดำเนินการที่ต้องห้ามโดยแจ้งชัด และเมื่อได้รับการไต่สวนโดยกระบวนการทางศาลโดยชอบแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ ตามข้อกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติ

 

แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับได้รับทรัพย์สินที่เป็นฐานที่ใช้ในการกระทำผิดกลับคืนไป ย่อมจะไม่อาจบรรลุเจตนารมณ์ของการให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเนื่องจากการ ร่ำรวยผิดปกติได้เลย


ทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ และผู้คัดค้านที่ 1 ต้องห้ามมิให้ถือหุ้นในบริษัทชินคอร์ปซึ่งหมายถึงหุ้นที่ถืออยู่ทั้งจำนวนมิ ได้แยกส่วนที่มีอยู่เดิมออกเป็นต่างหาก การได้รับคืนบางส่วนจึงขัดแยังกัน ข้อต่อสู้ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
---------------------------------

 

นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา


ย่อมเห็นได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับประโยชน์จากมาตรการทั้งห้ามาตราการอย่างมากมาย พฤติการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1(คุณหญิงพจมาน) ใช้หุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปฯ ตลอดมา มิใช่เพียงแต่ถือหุ้นโดยฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายเท่านั้น แต่ได้ใช้หุ้นที่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ถือครองอยู่เป็นปัจจัยสำคัญในการแสวงหาผลประโยชน์


หากไม่สั่งให้เงินค่าหุ้นกับเงินปันผลจำนวน 76,621,603,061.05 บาทตกเป็นของแผ่นดินทั้งจำนวน โดยคืนส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 อ้างว่า มีอยู่ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ยอมขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ผู้ที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติแห่งกฎหมายเช่นเดียวกับพ .ต.ท.ทักษิณไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย


เพราะหากหน่วยงานของรัฐสามารถสืบเสาะค้นหาจน พบว่า บุคคลผู้นั้นกระทำการอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง ก็ขอให้ศาลริบได้แต่ผลกำไรเท่านั้น ส่วนต้นทุนต้องคืนให้แก่ผู้นั้นได้ อันมีลักษณะเป็นการแบ่งทรัพย์สินให้แก่กันโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 

 

มาตรการในการป้องกันการกระทำอันเป็นการเอื้อ ประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้องจนก่อให้เกิดผลเสียหายแก่รัฐจะไม่สัมฤทธิ์ผล ได้เลย ทั้งยังเป็นช่องให้มีการกระทำในลักษณะเช่นนี้อย่างแพร่หลาย


เมื่อคำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 110,208,209,308 ถึง 311 และมาตรา 329 (2) อันเป็นที่มาของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 แล้ว จึงมีความเห็นว่า เงินจำนวน 76,621,603,061.05 บาท ต้องตกเป็นของแผ่นดินทั้งจำนวน


ที่ผู้คัดค้านที่ 1 ต่อสู้ว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ได้มาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรส หากศาลมีคำสั่งให้เงินจำนวนนั้นตกเป็นของแผ่นดิน ที่ต้องกันทรัพย์สินส่วนที่เป็นของผู้คัดค้านที่ 1 คืนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ก่อน


เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นภริยาของพ.ต.ท.ทักษิณและมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับพ.ต.ท.ทักษิณในเงินจำนวน 76,621,603,061.05 บาท ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีส่วนร่วมในการดำเนินการของพ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นลำดับ นับแต่การออกเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัทชินคอร์ปฯ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2542 ในนามของผู้คัดค้านที่ 1 เอง พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 5 (นายบรรณพจน์ ดมาพงศ์)รวมทั้งออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน สั่งจ่ายเงินจำนวน 330,961,220 บาท ให้บริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด  นำไปชำระค่าหุ้นที่ซื้อจากพ.ต.ท.ทักษิณ และการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2(นายพานทองแท้) และที่ 5 (นายบรรณพจน์) จำนวน 42,475,000 หุ้นละ 26,825,000 หุ้นตามลำดับ ซึ่งได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าไม่ใช่การซื้อขายกันอย่างจริงจัง


ถือได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ร่วมกับพ.ต.ท.ทักษิณกระทำการอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปฯ ตามคำรองของผู้ร้อง ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่อาจขอให้คืนทรัพย์สินส่วนของตนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้


สำหรับคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 6 ที่ 9 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 ที่ 20 นั้น (กรรมการและบริษัทครอบครัวชินวัตร)เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า  เงินที่ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 6 ที่ 9 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 ที่ 20 อ้างว่า เป็นของตนล้วนแต่เป็นเงินที่ได้มาจากการที่พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ขายหุ้นให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ทั้งสิ้น


สำหรับคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 ถึงผู้คัดค้านที่ 5 นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น จึงไม่จำต้องกล่าวซ้ำ ส่วนผู้คัดค้านที่ 6(นางบุษบา ดามาพงศ์) ที่อ้างว่าเงินจำนวน 40,000,000 บาทที่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) อายัดและขอให้ตกเป็นของแผ่นดิน เป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 5(นายบรรณจน์) ยกให้แก่ผู้คัดค้านที่ 6 โดยเสน่หาและได้มาจากการขายหุ้นส่วนของตนจำนวน 159,000 หุ้น รวมเป็นเงิน 7,839,273.70 บาท


เห็นว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้วินิจฉัยแล้วว่าหุ้นของ บริษัทชินคอร์ปฯ ที่ผู้คัดค้านที่ 5 ถืออยู่เป็นของพ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบกับทางไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านที่ 6 ได้เงินจำนวนนี้มาอย่างไร จึงต้องรับฟังว่า เงินจำนวน 40,000,000 บาทที่ผู้คัดค้านที่ 5 โอนให้ผู้คัดค้านที่ 6 เป็นการโอนให้โดยเสน่หา จึงถือได้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ และผู้คัดค้านที่ 6 ได้รับมาโดยไม่มีค่าตอบแทน ข้ออ้างของผู้คัดค้านที่ 6 ฟังไม่ขึ้น


ส่วนผู้คัดค้านที่ 9 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 ที่ 20 และที่ 21 นั้น เห็นว่าผู้คัดค้านดังกล่าวต่างเป็นนิติบุคคล โดยมีผู้คัดค้านที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 นางกาญจนาภา หงส์เหิน นายสมบูรณ์ คุปติมนัส นายชานนท์ สุวสิน นางดวงฤทัย กสิโสภา นางสาวลัดดาวัลย์ ศรชัย และนางสาวเพ็ญนภัสสร์ นภาทิวอำนวย เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนผู้คัดค้านที่ 9 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 ที่ 20 และที่ 21 ทั้งบุคคลดังกล่าวล้วนเป็นเครือญาติและบริวารของพ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ทั้งสิ้น


ประกอบกับที่ทำการของนิติบุคคลดังกล่าวส่วน ใหญ่เปิดทำการอยู่บนอาคารเลขที่เดียวกัน เหตุที่ได้รับเงินมาเนื่องจากการออกหุ้นเพิ่มทุนภายหลังจากการที่พ .ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ให้แก่กลุ่มเทมาเส็กแล้วทั้งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทผู้คัดค้าน เหล่านั้นก็คือ ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 กับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่นถือหุ้นเพียง 1 ถึง 2 หุ้นเท่านั้น จึงรับฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 6 ที่ 9 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 20 ถึงที่ 21 เป็นผู้รับโอนทรัพย์สินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน


จึงวินิจฉัยให้เงินที่ได้มาจากเงินปันผลและการขายหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปฯ จำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผลเฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝากนับแต่วันฝากเงินจนถึงวัน ที่ธนาคารส่งเงินจำนวนดังกล่าวมายังศาลตกเป็นของแผ่นดิน

 

 




อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
พลิกคำวินิจฉัย"หนึ่งเดียว"ในองค์คณะคดียึดทรัพย์"ม.ล.ฤทธิเทพ" ตอบโจทย์ทำไม "ทักษิณ"มิได้ร่ำรวยผิดปกติ
เปิดคำวินิจฉัยส่วนตน 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกาฯคดียึดทรัพย์ "ทักษิณ" 4.6หมื่นล้าน
วิเคราะห์คำพิพากษายึดทรัพย์ ออก พ.ร.ก.แปลงค่าสัมปทานเอื้อชินคอร์ป ขัดแย้งคำวินิจฉัยศาล รธน.?
วิเคราะห์คำพิพากษายึดทรัพย์ ตอบโจทย์ ทำไม ศาลฎีกาฯฟันธง"ทักษิณ" ซุกหุ้นชินคอร์ป
วิเคราะห์คดีทักษิณ: ต่างความคิด (แต่หวังว่า) ไม่ต้องผิดใจกัน
ไขปมคดีภาษี"โอ๊ค-เอม"1.2 หมื่นล้านหลังศาลฎีกาฟันธง "แม้ว" ซุกหุ้น ยึดทรัพย์4.6 หมื่นล้าน
เปิดชื่อ2ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยสั่งยึดเรียบ7.6หมื่นล. เผย"ม.ล.ฤทธิเทพ"หนึ่งเสียงชี้"แม้ว"ไม่ทุจริต
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1268909297&grpid=00&catid=no
--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น