อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Bookmark and Share
Bookmark and Share

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

จากยศช้างขุนนางพระ ถึงยศพระขุนนางพ่อค้า : การเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมในรัชกาลพระภูมิพล


อาจารย์ ศรีศักร วัลลิโภดม

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 16:22:29 น.  มติชนออนไลน์

จากยศช้างขุนนางพระ ถึงยศพระขุนนางพ่อค้า : การเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมในรัชกาลพระภูมิพล

ศรีศักร วัลลิโภดม

หมายเหตุ : บทความดังกล่าวนี้ นำมาจากเว็บไซต์ มูลนิธิ เล็ก-ประไพ ซึ่งเป็นบทความของ อาจารย์ ศรีศักร  วัลลิโภดม นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาชื่อดังของเมืองไทย ที่เขียนตอบคำถามวาทกรรมโดยมีการอธิบายคำว่า  "อำมาตย์-ไพร่" ไว้เผยแพร่ให้ผู้อ่านได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ สองคำนี้ ได้อย่างแท้จริง

 

“ตัวตน” และ “ชนชั้น” ในสังคมไทย


แก่นแท้ของวัฒนธรรมนั้นก็คือเรื่องของความคิด หรือถ้าจะพูดให้กระชับขึ้นก็คือความคิดและวิธีคิดของกลุ่มชนที่อยู่รวมกัน เป็นสังคม เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการแสดงออกร่วมกันทางพฤติกรรมที่เป็นรูปแบบ ทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรม


สิ่งที่เป็นรูปแบบทางรูปธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ในขณะที่สิ่งที่เป็นนามธรรมเป็นสิ่งที่ค่อนข้างหยุดนิ่งเปลี่ยนแปลงได้ยาก และช้า ความล่าช้าดังกล่าวนี้อาจเป็นสาเหตุให้สังคมที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั้นๆ อยู่ในภาวะที่เรียกว่า “ล้าหลังทางวัฒนธรรม” ก็ว่าได้


ในโลกปัจจุบัน บรรดาประเทศโลกที่สามซึ่งแต่ก่อนนี้เรียกกันว่าประเทศด้อยพัฒนาบ้าง หรือกำลังพัฒนาบ้างนั้น นับเป็นกลุ่มประเทศที่ประสบกับภาวะการล้าหลังทางวัฒนธรรม อันเนื่องมาจากไม่อาจปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมทางจิตใจให้เข้ากับความเจริญทาง วัตถุที่ได้อิทธิพลมาจากภายนอกได้


ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่า ประเทศโลกที่สามจำนวนมากเหล่านั้นเป็นสังคมแบบประเพณีที่มีความเจริญเป็น อาณาจักรและมีอารยธรรมมาช้านาน โดยเฉพาะประเทศในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประเทศไทยร่วมอยู่ ด้วยประเทศหนึ่ง


สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความคิดที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “ค่านิยม” อันเป็นสิ่งที่คนในสังคมคิดและมีความเห็นร่วมกันว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มักเป็นสิ่งที่เกิดจากการสังสรรค์และการถ่ายทอดกันมาช้านานของผู้คนที่อยู่ ในสังคมเดียวกัน เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมาก โดยเฉพาะในสังคมแบบประเพณีที่มีความเก่าแก่ เคยมีอารยธรรมมานั้น ดูจะยากกว่าสังคมที่เกิดขึ้นใหม่ๆ มากทีเดียว


ความขัดแย้งเช่นนี้ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าประเทศที่เคยมีอารยธรรมเก่าแก่เช่นประเทศไทย อาจนับเป็นประเทศโลกที่สามกับเขาได้


การที่มาถูกกล่าวหา หรือถูกกำหนดให้เป็นประเทศโลกที่สาม หรือประเทศด้อยพัฒนาดังกล่าวนี้ ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่บุคคลในสังคมนั้นเป็นอย่างมาก เลยทำให้มีการพัฒนาบ้านเมืองกันอย่างมากมาย เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าตนนั้นไม่ด้อยพัฒนา


ทว่า การพัฒนาดังกล่าวนั้นมักเป็นเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นทางด้านวัตถุ เสียมาก ผลที่ตามมาก็คือกลับยิ่งไปขยายช่องว่างระหว่างความเจริญทางวัตถุและค่านิยม ซึ่งเป็นเรื่องของความคิดจิตใจมากกว่าแต่เดิม


จนเกิดคำกล่าวให้ได้ยินยอมบ่อยๆ ว่า “modernization without development” คือ ความทันสมัยแต่ไม่พัฒนา นับเป็นความขัดแย้งระหว่างภาวะทางวัตถุกับทางจิตใจนั่นเอง


เมื่อเข้ากันไม่ได้ การปรับตัวให้ทันสมัยก็ไม่เกิดผล จึงดำรงอยู่ในภาวะความล้าหลังเมื่อ
เปรียบเทียบกับสังคมอื่นที่เขาปรับตัวเองได้


ผลของความล้าหลังที่เกิดขึ้นก็คือช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ เกิดขึ้น ระหว่างรัฐกับเอกชนจะเห็นว่าเกิดความเจริญเติบโตทางองค์กรธุรกิจเอกชนอย่าง มากมาย ที่สามารถเปรียบได้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในระบบราชการและองค์กรของรัฐยังอยู่ในสภาพล้าหลังที่ควบคุมและสร้าง ดุลยภาพระหว่างกันไม่ได้ เท่ากับไม่สามารถรักษาบทบาทหน้าที่ของรัฐในการควบคุมขององค์กรทางธุรกิจไม่ ให้แสวงหาผลประโยชน์จากสังคมถ่ายเดียวไม่ได้ ทำให้คนในสังคมเอารัดเอาเปรียบกัน คือคนที่มีการศึกษาดีกว่า ฉลาดกว่า ก็กลายเป็นผู้ฉวยโอกาสจากคนด้อยโอกาสที่มีเป็นจำนวนมาก


สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ คนถูกมองเป็นทรัพยากร เรียกว่า “ทรัพยากรมนุษย์” มีค่าเท่ากับทรัพยากรธรรมชาติและอื่นๆ ในกรอบความคิดที่เป็นเศรษฐกิจไป


ผลที่ตามมาก็คือ ทั้งคนและสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งของทางเศรษฐกิจถูกทำลาย อย่างย่อยยับ ดังที่แลเห็นภาพการล่มสลายของครอบครัวและชุมชน ตลอดจนภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างในทุกวันนี้


สิ่งที่โดดเด่นอันเป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ในประเทศไทยขณะนี้ก็คือ การเกิดชนชั้นกลุ่มใหม่ที่เข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง ซึ่งส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากชนชั้นกลางที่เป็นพ่อค้า ซึ่งอาศัยช่องว่าทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ชนกลุ่มนี้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจและการเมือง บางคนกลายเป็นสมาชิกของบริษัทข้ามชาติที่เชื่อมโยงเข้ากับระบบเศรษฐกิจของ โลกในยุคโลกานุวัตรไปก็มี


ดังนั้น สิ่งที่เห็นในสังคมไทยยุคใหม่ที่สำคัญก็คือ ความมั่งคั่งกับอำนาจกลายเป็นสิ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ออก และผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจก็คือผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองและการปกครองโดย ปริยาย


การเปลี่ยนแปลงที่เห็นนี้ ถ้ามองอย่างเผินๆ แล้ว ก็จะเห็นว่าประเทศไทยและสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นไปในมิติทางเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น ถ้าหากนับวัฒนธรรมรวมเข้าไปด้วยแล้ว ก็บอกได้แต่เพียงว่า วัฒนธรรมบางส่วนบางเรื่องเท่านั้นที่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ค่านิยมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปนี้ก็มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเช่นที่แลเห็นได้ในปัจจุบัน


ค่านิยมสำคัญที่ว่านี้มีสองอย่าง คือ ความเป็นปัจเจกบุคคล ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาหินยานหรือเถรวาทกับ ความยากมีตัวตนและชนชั้น  ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากระบบขุนนาง หรือระบบศักดินาที่มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ


ค่านิยมทั้งสองอย่างนี้มีตัวตนอยู่ในระบบค่านิยมและโครงสร้างทาง วัฒนธรรมของสังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัย แต่ในที่นี้จะวิเคราะห์เพียงค่านิยมอย่างที่สอง คือเรื่องความมีตัวตนและชนชั้นเท่านั้น


ขอกล่าวแต่เพียงคร่าวๆ ว่า ความเป็นปัจเจกบุคคลที่ได้รับมาจากพุทธศาสนา สอนให้คนเป็นที่พึ่งแห่งตน และรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองนั้น เข้ากันได้ดีกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีในปัจจุบัน ส่วนค่านิยมในเรื่องความมีตัวตนและชนชั้นนั้น ถ้ามองในแง่มุมสังคมแบบประชาธิปไตยแล้วก็คือสิ่งที่ขัดขวางความเจริญอย่าง ชัดเจน และเป็นรากเหง้าของความแตกต่างกันระหว่างตะวันตกกับตะวันออก


เพราะค่านิยมในเรื่องความเสมอภาคคือผลิตผลของสังคมประชาธิปไตยใน ตะวันตก เป็นคุณธรรมที่ถ่วงดุลไม่ให้ค่านิยมในเรื่องความเป็นปัจเจกบุคคลดำเนินไป อย่างสุดโต่ง และเป็นสิ่งพื้นฐานที่ลักดันให้เกิดเรื่องสิทธิมนุษยชนขึ้น


เมื่อสังคมไทยรับระบอบประชาธิปไตยเข้ามา จึงเกิดความขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่กำจัดค่านิยมที่เกี่ยวกับชนชั้นและความไม่เสมอภาคออกไปจากสำนึกและ โครงสร้างในระบบราชการ ดังเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น ประชาธิปไตย และยกเลิกฐานันดรศักดิ์ ยศชั้น ศักดินาแล้วก็ตาม ความรู้สึกในเรื่องยศชั้นก็ยังคงสิงอยู่ต่อไปในยศชั้นทหารและข้าราชการ พลเรือน เช่น นายพัน นายพล หรือชั้นโท ชั้นเอก ชั้นพิเศษ


สิ่งที่ตอกย้ำและกระตุ้นความรู้สึกสำนึกในเรื่องนี้ตลอดเวลาก็คือการ มีเครื่องแบบ ที่บ่งบอกถึงความแตกต่างในลักษณะต่ำ-สูง เป็นการตอกย้ำทั้งในเวลาทำงานปกติ และงานพระราชพิธี หรือรัฐพิธี


สำนึกในการมีตัวตนและชนชั้นดังกล่าวนี้ นับวันดูเหมือนเพิ่มพูนขึ้นจนสังเกตได้ชัดเจนในการหาเสียงเลือกตั้งผู้แทน ราษฎรแทบทุกครั้งทุกคราว เพราะผู้สมัครรับเลือกตั้งมักนิยมแต่งเครื่องแบบในลักษณะโอ่กันว่าใคร เด่นกว่ากันจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์และสายสะพาย ดูแล้วลานตาดี บางคนที่ไม่มีสายสะพายหรือรู้สึกด้อยกว่าเขา แต่มีดีกรีการศึกษาดีกว่า ก็นำเอาครุยปริญญามาใส่อวด น้อยคนนักที่ไม่แต่งเครื่องแบบ ที่โดดเด่นจนแปลกไปจากคนอื่นก็เห็นจะเป็นพลตรีจำลอง ศรีเมือง ท่านเดียวที่ใส่เสื้อม่อฮ่อมถ่ายรูปหาเสียง


พฤติกรรมเหล่านี้นับเป็นการแสดงออกที่เห็นชัดเจนในสำนึกและค่านิยม ที่ตรงข้ามกับการเป็นประชาธิปไตย จนกระทั่งกลายเป็นความมุ่งหมายและต้องการอย่างหนึ่งของผู้สมัครเสียด้วย


ที่กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะมีพฤติกรรมผลพวงตามมาให้เห็นอยู่เนืองๆ นั่นก็คือผู้แทนราษฎรเมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีหรือบุคคลสำคัญแล้ว มักนิยมนั่งรถที่โอ่อ่า เช่น รถเมอร์เซเดส เบนซ์ หรือรถอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน เป็นสิ่งแสดงฐานะความร่ำรวย มีรถตำรวจนำ มีขบวนผู้ติดตามเป็นพรวน


สิ่งเหล่านี้ทำให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า ความต้องการเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรก็คือต้องการที่จะเข้าไปเป็นนายประชาชน หาใช่เพื่อเสียสละเพื่อส่วนรวม และรับใช้ประชาชนไม่


ดูเหมือนความต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีนั้น คือความมุ่งหมายทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมชั้นสุดยอดของผู้สมัครรับเลือก ตั้งส่วนมาก  เพราะมีการตั้งเป้าหมายและวางแผนกันมาก่อนการสมัคร  และเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วก็เกิดความขัดแย้งชิงเก้าอี้กันเป็นปกติวิสัย  จนเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกและจ้องหาทางล้มล้างกัน  แทนการทำงานเพื่อรับใช้ส่วนร่วมตามอุดมคติของการปกครองแบบประชาธิปไตย


ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ดำรงมาถึง ๕๐ ปีในขณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นที่ ไม่เสื่อมสลายไปจากอดีตแม้แต่น้อย เป็นการดำรงอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองโดยแท้ นับเป็นวัฒนธรรมที่ไม่เปลี่ยนในขณะที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลง เลยทำให้นึกถึงคำพังเพยในอดีต ที่เกิดจากการนินทาและแดกดันสังคมในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ว่า “ยศช้างขุนนางพระ” แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นในค่านิยมนี้ที่มีไปถึงช้างและพระด้วย มาบัดนี้การเปลี่ยนแปลงมีแต่เพียงยศช้างหายไป พระยังคงมีอยู่ แต่ว่าสิ่งที่เข้ามาแทนช้างก็คือขุนนางพ่อค้า


จึงใคร่วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างและเหมือนกันของทั้งสองสมัย คือจากยศช้างขุนนางพระ มาเป็นยศพระขุนนางพ่อค้า ดังต่อไปนี้


ยศช้างขุนนางพระ

 

นวกรรมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถครั้งกรุงศรีอยุธยา คือการสร้างระบบศักดินาขึ้นเพื่อการปกครองประเทศและการบริหารราชการให้เป็น ผลดี ทั้งนี้เพราะกรุงศรีอยุธยาในเวลานั้นมีอาณาเขตกว้างใหญ่ อันเนื่องมาจากการวมหัวเมืองและรัฐอิสระหลายแห่งมาอยู่ใต้อำนาจ มีประชาชนมากมายหลายเผ่าพันธุ์ที่เข้ามาเป็นพลเมือง จำเป็นต้องยกระดับขึ้นเป็นราชอาณาจักร และรวมอำนาจมาไว้ที่ศูนย์กลางภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์


สิ่งที่จะทำให้รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางได้ดีนั้น จำเป็นต้องมีบูรณาการทางวัฒนธรรมและการเมืองที่จะทำให้ผู้คนซึ่งมีความแตก ต่างกันในทางชาติพันธุ์มีความรู้สึกร่วมกัน กลไกที่ทำให้เกิดสำนึกร่วมกันดังกล่าวนี้ก็คือภาษาและศาสนา


ในด้านภาษานั้น รัฐได้เลือกเอาภาษาไทยเป็นภาษากลางและเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญในราช อาณาจักร ความสำเร็จในเรื่องนี้เห็นได้จากเอกสารของชาวยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่เข้ามาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ระบุว่า ชาวสยามเรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย


ส่วนในด้านศาสนา รัฐได้ยกพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นศาสนาหลักของราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์และยกย่องมากกว่าศาสนาใด มีการสร้างวัดราษฎร์และวัดหลวงให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนบ้านและเมือง ผลที่ตามมาก็คือผู้คนแม้จะหลากหลายในด้านชาติพันธุ์และความเป็นมา แต่เมื่อมาอยู่รวมกันในดินแดนนี้ก็เป็นชาวพุทธร่วมกัน ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกในด้านความจงรักภักดีเชื่อมโยงไปถึงพระมหากษัตริย์ และบ้านเมืองด้วย นั่นคือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และบำรุงพระศาสนา หากใครมาทำอันตรายหรือคิดร้าย ก็เท่ากับทำลายพระพุทธศาสนา เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ หากมีข้าศึกมาย่ำยี ก็หมายความว่าเป็นการย่ำยีทำลายพระศาสนาเช่นกัน


ทั้งภาษาและศาสนานับเป็นกลไกที่สำคัญในการทำให้เกิดการบูรณาการทาง สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ส่งทอดไปถึงการสร้างระบบศักดินาอันมีความหมายในเรื่อง บูรณาการทางการเมืองด้วย นั่นก็คือเป็นระบบที่กลั่นกรองและยกระดับผู้คนที่รัฐและพระมหากษัตริย์เห็น ว่าจะทำหน้าที่และมีประโยชน์แก่แผ่นดินขึ้นมาเป็นขุนนางและข้าราชการ โดยจัดอันดับสูงต่ำให้ลดหลั่นกันไปตามความสามารถและความดีความชอบที่พระมหา กษัตริย์เห็นสมควร

 


แม้ว่าในสายพระเนตรของพระมหากษัตริย์นั้น  ทุกคนเหมือนกันหมด  อาจได้รับการลงโทษได้เท่าๆ กัน เช่นพระองค์สามารถถอดคนที่เป็นเสนาบดีให้เป็นตะพุ่นหญ้าช้าง หรือโปรดฯ ให้ตะพุ่นหญ้าช้างเป็นเสนาบดีได้ในพริบตาเดียวก็ตาม คนส่วนใหญ่ในสังคมก็ยังคงยอมรับพระราชอำนาจนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้โอกาสมีหน้ามีตาและมีความสำคัญได้เท่าเทียมกัน นิยายเรื่องขุนศึกที่เคยฉายอยู่ในทีวีก็เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าแม้ แต่คนที่มีฐานะเป็นทาส หรือไพร่ เช่นไอ้เสมา ก็สามารถก้าวข้ามบันไดสังคมไปเป็นขุนนางศักดินากับเขาได้


ระบบศักดินาไม่ได้หยุดนิ่งอย่างที่มีขึ้นแต่แรกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเท่านั้น หากยังได้รับการปรุงแต่งและส่งเสริมเรื่อยมา ดังสังเกตได้จากหลักฐานทางเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายตราสามดวง หรือพระราชพงศาวดารที่เกี่ยวกับเรื่องยศ – ชั้นของขุนนางผู้ใหญ่ กล่าวคือในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนั้นคงมีแต่เพียงออกญาหรือพระยาเป็นที่ สุด แต่สมัยหลังลงมาเกิดมีเจ้าพระยาและสมเด็จเจ้าพระยา เป็นต้น โดยเฉพาะสมเด็จเจ้าพระยานั้น น่าจะพัฒนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง


นอกจากนี้ ก็ยังมีเครื่องแสดงยศถาบรรดาศักดิ์ เช่น ดาบ กระบี่ พานหมาก เสลี่ยง เรือ เป็นต้น ที่พัฒนามากเห็นจะเป็นตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช อันเป็นสมัยที่มีของจากภายนอกเข้ามามาก และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีพอสมควร ยุคนี้เวลาเจ้านายและขุนนางตายก็มีการใส่โกศหรือใส่หีบทองพระราชทาน มีเครื่องประดับยศหรูหราเป็นรูปธรรมขึ้น


พอมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาขุนนางตายมีโอกาสได้เผาศพในเมรุมาศคล้ายๆ กันกับพระมหากษัตริย์ทีเดียว


แต่ที่โดดเด่นทันสมัยและเข้าใจว่าสมบูรณ์ที่สุดนั้น ก็คือสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ที่มีการรับอิทธิพลการแต่งกายมาจากฝรั่ง มีการให้เหรียญตราและสายสะพายขึ้น กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบ เป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปแม้แต่คนที่เป็นสมเด็จเจ้าพระยาก็ยังต้องการ คือในสมัยรัชกาลที่ ๕ เกิดความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างพระพุทธเจ้าหลวงกับสมเด็จเจ้าพระยาบรม มหาศรีสุริยวงศ์ในเรื่องวันฉัตรมงคล เพื่อยุติความขัดแย้ง รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดฯให้สร้างตราจุลจอมเกล้าขึ้นพระราชทานในวันฉัตรมงคล ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ได้รับพระราชทานด้วย ความขัดแย้งจึงหมดไป


แต่สิ่งนี้จะมองในลักษณะที่มอมเมาไม่ได้ เพราะทั้งผู้ให้และผู้รับนั้นอยู่ในระบบคุณธรรมเสมอกัน พระเจ้าแผ่นดินนั้นหาได้อยู่ในฐานะที่จะเห็นใครชอบใครแล้วพระราชทานให้ไม่ แต่ต้องมีกฎเกณฑ์และมีกรอบคุณธรรมที่เรียกอย่างกว้างๆ ว่า “ทศพิธราชธรรม” ควบคุมอยู่


ถ้ามองอย่างเจาะจงแล้ว จะเห็นว่ารัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นสุขุมาลชาติ ทรงมีความละเอียดอ่อน  รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ไม่หักหาญกับสมเด็จเจ้าพระยาฯ ในขณะเดียวกัน สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็โอนอ่อน แลเห็นความหมายของกุศโลบายของตราจุลจอมเกล้าที่มุ่งเชิดชูผู้ทำคุณประโยชน์ ให้กับแผ่นดินที่สืบทอดไปถึงลูกหลาน นั่นก็คือการสร้างสำนึกในเรื่องตระกูลวงศ์ขึ้น ตระกูลวงศ์จะดำรงอยู่อย่างได้รับการยกย่องก็ต่อเมื่อบุคคลในตระกูลนั้นมี คุณธรรม มีความซื่อตรงต่อแผ่นดิน


เพราะฉะนั้น ระบบศักดินาจึงไม่ใช่ระบบที่เป็นกลไกในการสร้างบูรณาการทางการเมืองและการ ปกครองอย่างโดดๆ หากมีความสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างของระบบคุณธรรมในยุคนั้นสมัยนั้น ทีเดียว เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับ จากชนทุกชั้นในสังคมจนกลายมาเป็นค่านิยมที่ฝังอยู่ในสำนึกของคนไทยมาช้านาน


คำว่า “ยศช้างขุนนางพระ” นั้นจึงหาได้เป็นคำพังเพยแบบแดกดันแต่เพียงอย่างเดียวไม่  หากมีนัยของระบบคุณธรรมแอบแฝงอยู่ อย่างเช่นคำว่า “ยศช้าง” คือแม้แต่ช้างก็มียศ มีราชทินนาม เช่น เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยาปราบไตรจักร เป็นต้น ก็เพราะช้างในสมัยนั้นเป็นสัตว์มีคุณ เป็นพาหนะที่ใช้ทำศึกสงคราม เปรียบได้กับรถเกราะหรือรถถังในปัจจุบัน การให้ยศนั้นคือการแสดงออกถึงการให้คุณค่า และที่สำคัญก็คือความกตัญญูรู้คุณช้าง ดูแล้วผิดกับคนสมัยนี้ที่ไม่มีคุณธรรม เอาช้างมาลากซุงทรมาน เอามาเป็นพาหนะรับใช้นักท่องเที่ยวและเอามาแสดงปาหี่ต่างๆ จนเกือบจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว


ส่วนเรื่องขุนนางพระนั้น ก็มีความจำเป็นที่พระมหากษัตริย์ต้องเกี่ยวข้องด้วย พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของทางธรรม ไม่นิยมให้พระสงฆ์มาเกี่ยวข้องกับทางโลกโดยไม่จำเป็น พระมหากษัตริย์จึงต้องเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกบำรุงศาสนาและจัดตั้งองค์กร สงฆ์ที่แยกออกจากทางโลกโดยเฉพาะและให้พระสงฆ์ควบคุมกันเองภายใต้การดูแลของ พระมหากษัตริย์ จึงเกิดตำแหน่งขุนนางพระขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าพระสงฆ์ไม่ประพฤติในทางที่ถูกที่ควรก็จะถูกลงทัณฑ์ได้


ยกตัวอย่างเช่นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้มีการถอดยศและลงทัณฑ์พระเถระที่ประพฤติผิดหลายรูป รวมทั้งได้มีการกำหนดพระสงฆ์ขึ้นควบคุมดูแลด้วย ความชั่วดีและการได้ยศศักดิ์นั้นอยู่ที่พระสงฆ์เอง แต่สำหรับพระสงฆ์ที่เป็นพระจริงๆ แล้ว ท่านก็มักไม่ติดยึดกับยศถาบรรดาศักดิ์


ดังเช่นท่านพุทธทาส เป็นต้น ทั้งที่โดยฐานะและตำแหน่งท่านคือเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุไชยา และมียศเป็นชั้นธรรมแต่ท่านไม่ติดกับสิ่งเหล่านี้ กลับแยกไปสร้างสวนโมกข์และปฏิบัติธรรมอย่างเป็นเอกเทศ ในขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิเสธและขัดขืนความต้องการของแผ่นดิน ผิดกับพระอีกเป็นจำนวนมาก ในสมัยนี้ ที่ต้องการได้พัดยศ ได้ตำแหน่ง และยุ่งในทางโลกจนเป็นที่ติฉินนินทาของคนทั่วไป


เท่าที่กล่าวเรื่องยศช้างขุนนางพระมานี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความรู้สึกอยากมีตัวตนและชนชั้นที่เป็นค่านิยมของคนไทยทุกวันนี้นั้น เป็นสิ่งที่มีมากับโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมแต่เดิม และตกทอดมาจนทุกวันนี้

 

ยศพระขุนนางพ่อค้า

 

สมัยยศช้างขุนนางพระเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อำนาจและความชอบธรรมในการปกครองแผ่นดินมาจากเบื้องบน คือศาสนาและพระมหากษัตริย์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นสังคมยังไม่มีขนาดใหญ่โตซับซ้อนดังที่เห็นในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าในสมัยรัชกาลที่ ๔ สยามมีประชากรเพียง ๕ ล้านคน พอถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็เพิ่มเป็น ๗ ล้านคน การดูแลความประพฤติของขุนนางข้าราชการยังทำได้ทั่วถึง


เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่ถือว่าอำนาจในการปกครองแผ่นดินมาจากประชาชนที่อยู่เบื้องล่างนั้น แท้จริงก็คือการเปลี่ยนแปลงเพียงที่มาของอำนาจ ไม่เป็นกลุ่มเผด็จการทหารเท่านั้น โครงสร้างและค่านิยมแต่เดิมยังคงดำรงอยู่ สิ่งที่ตามมาและเห็นได้ชัดเพียงอย่างเดียวก็คือการเล่นพรรคเล่นพวกและการ คอร์รัปชั่น เพราะอำนาจกระจายไปยังผู้คนต่างๆ มากกว่าแต่เดิม และระบบคุณธรรมที่เคยควบคุมความประพฤติแต่เดิมก็สั่นคลอน


กระนั้นก็ดี ก็ยังแลเห็นว่าใครเป็นใคร เพราะประชาชนน้อยและขุนนางรุ่นเก่ายังมีอยู่มาก เช่นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีประชาชนอยู่ ๑๘ ล้านคน และจอมพล ป. เองก็มีสำนึกเรื่องประชาธิปไตยอยู่มิใช่น้อย


สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นต้นมา เป็นการเปลี่ยนรุ่นของข้าราชการ พวกที่เคยเป็นขุนนางมาแต่เดิมก็หมดไป เกิดคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาดำรง ตำแหน่งสำคัญทางราชการแทน ทำให้เกิดการพัฒนาระบบราชการ มีสถาบันสอนวิชารัฐประศาสนศาสตร์ วิชาศึกษาศาสตร์ และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ จนเกิดแผนพัฒนาขึ้นมาหลายฉบับ


เพราะฉะนั้น ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์เป็นต้นมานั้น อาจนับเป็นยุคใหม่ของระบบราชการก็ว่าได้ ความเป็นยุคใหม่นี้ที่เห็นชัดเจนก็คือ ระบบคุณธรรมที่เคยมีมาแต่เดิมได้หมดไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ค่านิยมในการมีตัวตนและชนชั้นยังคงดำรงอยู่อย่างสืบเนื่อง แต่เป็นการสืบเนื่องชนิดที่ไม่มีระบบคุณธรรมควบคุมอย่างแต่ก่อน

 

สิ่งโดดเด่นที่ทำให้คนมีหน้ามีตา และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่โตทางราชการที่สำคัญ ก็คือการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามักเป็นการศึกษาเฉพาะด้าน และเน้นในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยีเป็นสำคัญ เพราะถือว่าเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ


ผลที่ตามมาก็คือมีคนรุ่นใหม่จบปริญญาโท-เอก จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่ไปโดยทุนส่วนตัว ทุนราชการโดยมูลนิธิต่างๆ ไปจนถึงทุนต่างประเทศ ได้กลับมารับราชการ มีตำแหน่งและความก้าวหน้าทางฐานะอย่างรวดเร็วทำให้คนส่วนใหญ่แลเห็นว่าการ ศึกษาเป็นหนทางไต่เต้าไปสู่การมีฐานะและมีหน้าตา ครอบครัวเป็นจำนวนมากสนับสนุนให้ลูกหลานเรียนจบไวๆ เพื่อให้ได้ปริญญาตั้งแต่อายุน้อยๆ จะได้มีความก้าวหน้ารวดเร็ว เป็นเหตุให้เกิดโรงเรียนกวดวิชาขึ้นเป็นดอกเห็ด ขาดการควบคุมมาตรฐานการเรียน เรียนกันแบบท่องจำ คิดไม่เป็น เพื่อให้ได้คะแนนดี  ได้เกียรตินิยม มีหน้ามีตา ฯลฯ


คนรุ่นใหม่ นักวิชาการรุ่นใหม่ และข้าราชการรุ่นใหม่เหล่านี้ คือผู้ที่ทิ้งระบบคุณธรรมและความรู้ต่างๆ ที่เป็นภูมิปัญญาของแผ่นดินที่เคยจรรโลงบ้านเมืองให้อยู่สืบเนื่องมาแต่เดิม เสียสิ้น แต่หาได้ทิ้งค่านิยมแห่งการมีหน้ามีตาและยึดถือในชนชั้นที่มีมาแต่เดิมไม่ ยังคงรับไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำลายจรรยาของวิชาชีพและจริยธรรมอันดีงามของสังคมไป เกิดการทำงานแบบเอารัดเอาเปรียบ ไม่รอบคอบ และมองอะไรแต่เฉพาะเพื่อตนเองและผลประโยชน์ของกลุ่มตน


โดยเฉพาะเกิดกลุ่มผลประโยชน์มากมาย เพราะวิชาที่เรียนมากเป็นวิชาเฉพาะหรือวิชาที่เน้นเทคโนโลยี ไม่ช่วยยกระดับจิตใจให้กว้างขวางแต่อย่างใด ทำให้สังคมไทยมีความซับซ้อนด้วยกลุ่มวัฒนธรรมย่อยที่มีบทบาทในทางลบมากกว่า ทางบวก สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ทำให้วัฒนธรรมไทยมีทิศทางไปในเรื่องวัตถุนิยมและ ปัจเจกบุคคลนิยมอย่างสุดโต่ง


สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม้ว่าจะไม่รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจก็ตาม แต่ก็เป็นยุคที่มีการเพาะคนรุ่นใหม่ที่สานไม่ติดกับอดีต และในขณะเดียวกันก็สร้างโครงสร้างภายใน เช่น ถนน เขื่อน ชลประทาน เพื่อรองรับการขยายตัวของบ้านเมืองเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งก็ทำให้เกิดผลในสมัยต่อมา เช่นในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร แต่เป็นผลของความเจริญทางเศรษฐกิจเชิงทำลายเพราะป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ เริ่มหมดไป เกิดเผด็จการทหารที่ร่วมกับพวกพ่อค้านายทุนสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้าน เมือง จนเป็นเหตุให้เกิดกลุ่มปัญญาชนและขบวนการรักชาติขึ้น จนนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นขบวนการที่ต่อต้านเผด็จการและพวกนายทุนโดยตรง


เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ทำให้เกิดการถ่วงดุลระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่อยู่ในเมือง ซึ่งประกอบด้วยนายทุนเป็นจำนวนมาก กับขบวนการรักชาติที่อยู่ในป่าซึ่งเป็นพวกสังคมนิยม ก็นับว่ายังโชคดีที่บรรดาทรัพยากรหลายๆ แห่งในประเทศ โดยเฉพาะป่าไม้ไม่ถูกทำลาย แต่แล้วก็เป็นไปได้ไม่นานเพราะหลังจากที่มีการประนีประนอมกันในสมัยรัฐบาลพล เอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์แล้ว ขบวนการรักชาติออกจากป่า ก็เกิดการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ การเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมเชิงวิบัติก็กลับมามีอำนาจดังเดิม


แต่สิ่งที่กลับร้ายยิ่งกว่าเดิมก็คือการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่ เติบโตและร่ำรวยขึ้นภายหลังจากขบวนการรักชาติออกจากป่านั้น มีการตัดไม้ทำลายป่าแสวงหาทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิดควบคู่ไปกับการค้าของเถื่อน และกิจกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปทั่วทุกท้องถิ่น เกิดระบบเจ้าพ่อและผู้มีอิทธิพลโยงใยกันเป็นเครือข่ายจากระดับท้องถิ่นถึง รัฐสภา


สิ่งที่เปิดโอกาสให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้ามามีอำนาจก็คือคำว่า “ประชาธิปไตย” และสิ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “เปลือกนอกของประชาธิปไตย” นั่น เอง เพราะเปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มเหล่าเข้ามาเลือกตั้งได้ พวกนายทุนและพ่อค้าที่ไม่มีคุณธรรมก็เข้ามาได้โดยอาศัยช่องว่างของคำว่า ประชาธิปไตยและพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีมาแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ่อค้านายทุนสามารถใช้อิทธิพลทั้งอำนาจและการเงินซื้อเสียงให้ชาวบ้านเลือกตนเข้ามานั่งในสภาได้ และจากสภาก็เข้าสู่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่มีอำนาจในการปกครองและบริหารประเทศเต็มที่ เมื่อนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้อย่างผิวเผิน ก็เป็นเหตุให้อำนาจการปกครองเปลี่ยนมือจากพระมหากษัตริย์ และจากเผด็จการทางทหารมาเป็นเผด็จการพ่อค้าและนายทุนแทน


ปัจจุบัน พวกพ่อค้านายทุนไม่จำเป็นต้องติดสินบนข้าราชการ หรือกราบไหว้ข้าราชการเพื่อให้อำนวยประโยชน์แก่ตนอีกต่อไป เพราะพวกพ่อค้าสามารถเข้ามาเป็นขุนนางและเสนาบดีที่อยู่เหนือหัวบรรดาข้าราชการอยู่แล้ว ฉะนั้น ระบอบราชการที่เคยดำรงอยู่ในการทำคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนร่วมก็กลายมาเป็น ระบบที่ล้าหลัง และเป็นเครื่องมือของพวกพ่อค้านายทุนไป


แต่ที่ร้ายที่สุดที่ทำให้พวกพ่อค้านายทุนมีอำนาจยิ่งใหญ่ ก็คือค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นที่ยังดำรงอยู่ เพราะนอกจากทำให้พวกพ่อค้าที่เป็นขุนนางมีหน้ามีตาแล้ว ยังมีอำนาจที่จะแต่งตั้งและช่วยเหลือข้าราชการที่รับใช้ตนให้มีอำนาจมีหน้า มีตาด้วย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นจากการมีเครื่องแบบ มีเครื่องประดับยศศักดิ์ทั้งสิ้น


เมืองไทยจึงเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่เต็มไปด้วยเครื่องแบบและความเหลื่อมล้ำของชนชั้นที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้

 

สรุปและวิเคราะห์


ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตนและชนชั้นเป็นสิ่งที่มีมานานแต่สมัยราช อาณาจักรอยุธยา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากระบบศักดินาแต่ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในสมัยศักดินาหรือในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ค่านิยมนี้ไม่ได้อยู่อย่างโดดๆ หากเป็นส่วนหนึ่งในระบบคุณธรรมที่มีค่านิยมอื่นหรือองค์ประกอบอื่นคอย ถ่วงดุลไม่ให้มีลักษณะที่เกินเลยไปจนเป็นผลร้ายต่อสังคม


ดังเช่นการมีหน้ามีตาก็เป็นสิ่งที่ควบคู่ไปกับการอับอายขายหน้าเสีย ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ผู้ที่อยากเป็นคนเด่นคนดังก็จำเป็นต้องระมัดระวัง มีการตรวจสอบจากเบื้องบนคือพระมหากษัตริย์และขุนนางผู้ใหญ่ ดังเช่นสมเด็จพระบรมราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในสมัยรัชกาลที่ ๑

 

ทรงนิพนธ์ไว้ในเพลงยาวรบพม่าว่า


 “...สุภาษิตทานกล่าวเป็นราวมา   จะแต่งแต่งเสนาธิบดี
 ไม่ควรอย่าให้อัครฐาน              จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
 เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี        จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา
 เสียยศศักดิ์นคเรศ                   เสียทั้งพระนิเวศวงศา
 เสียทั้งตระกูลนานา                 เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร
 สารพัดจะเสียสิ้นสุด...”

 

นับเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าการให้ยศถาบรรดาศักดิ์แก่คนนั้น ถ้าไม่ดีอาจทำให้บ้านเมืองพินาศได้


ส่วนสิ่งที่ควบคุมขึ้นมาจากเบื้องล่างอันดับแรกก็คือตระกูลของผู้ที่ ได้รับยศศักดิ์นั่นเอง การเป็นคนที่อยู่ในตระกูลนั้นจะต้องผ่านการอบรมทางด้านศาสนา ศีลธรรม และคุณธรรม อันเป็นสิ่งที่ชอบในสังคมด้วย ถ้าประพฤติไม่ดี ไม่เหมาะสม ตระกูลก็เสียหายขายหน้า นำไปสู่การติฉินนินทาของคนทั่วไปในสังคม


เพราะฉะนั้น การนินทาก็นับเนื่องเป็นกลไกในการควบคุมจากเบื้องล่างอีกระดับหนึ่งเหมือนกัน ดังในวรรณคดีเรื่อง กฤษณาสอนน้องกล่าวว่า


 “...ความดีก็ปรากฏ  กฤติยศฦๅชา
 ความชั่วก็นินทา      ทุรยศยินขจร...”

 

หรือจะกล่าวอย่างย่อๆ ว่า การมีตัวตนมีหน้ามีตาเป็นชนชั้นของคนสมัยก่อนนั้น กว่าจะมีได้ก็ต้องผ่านการอบรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีกลไกต่างๆ ทางคุณธรรมและจริยธรรมคอยดูแลควบคุมไว้นั่นเอง


ปัจจุบัน สังคมเปลี่ยนจากระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยแบบ ทางตะวันตก แต่ค่านิยมในเรื่องการมีตัวตน มีหน้ามีตาและชนชั้นนั้นก็มิได้เสื่อมลงไปด้วย กลับดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นการดำรงอยู่ในระบบค่านิยมและวัฒนธรรมแบบใหม่ ที่ไม่มีกลไกทางคุณธรรมรองรับหรือคอยถ่วงดุลอย่างแต่ก่อน


ระบอบประชาธิปไตยแบบผิวเผินนี้ได้ทำให้พวกพ่อค้าที่มีโลกทัศน์และแนว คิดเพียงแต่กำไร-ขาดทุนมีโอกาสเข้ามาเป็นขุนนาง เลยทำให้ค่านิยมในเรื่องชนชั้นดังกล่าวยิ่งกลับมาส่งเสริมให้ความมั่งคั่งใน เรื่องเงินตราและอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจในการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินก็กลายเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกันไป


ข้าราชการที่แต่ก่อนนี้เคยเชื่อว่า “สิบพ่อค้าก็ไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” ก็ต้องมาสยบกับพวกพ่อค้าที่เข้ามาเป็นเสนาบดีเพื่อที่คนจะได้เลื่อนตำแหน่ง ยศศักดิ์และมีหน้ามีตา

 

ถึงตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอัญเชิญพระนิพนธ์ของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทอีกตอนหนึ่งมา
      
                                     “...ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถ

 ครั้นทัพเขากลับยกมา       จะองอาจอาสาก็ไม่มี 
  แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ  จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่
       ฉิบหายตายล้มไม่สมประดี   เมืองยับอัปรีย์จนทุกวันฯ...ฯ

 

ทุกวันนี้ กรุงเทพฯ ก็คืออยุธยาดังที่ว่านี้ วัฒนธรรมแบบพ่อค้าได้ทำลายคุณธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นกลไกคอยควบคุมไม่ให้ค่า นิยมในเรื่องการมีตัวตน และชนชั้นเป็นไปในทางที่เสียหายให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง คุณธรรมที่ว่านี้คือ “หิริโอตตัปปะ” หรือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เป็นสิ่งที่ทำให้คนแต่ก่อนไม่หน้าด้านเอาแต่ได้ เมื่อมาหมดไปเช่นนี้ความหน้าด้านเอาแต่ได้ก็เข้ามาแทนที่ และเป็นสิ่งส่งเสริมการมีหน้ามีตาของคนในสังคมปัจจุบัน


ที่น่าสลดใจก็คือ แม้แต่ชุมชนทางวิชาการ เช่น ในมหาวิทยาลัย ก็ได้รับผลกระทบดังกล่าว ซึ่งเห็นได้จากการขอตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มและถูกครอบงำจากผู้บริหารในทบวงที่มีคุณสมบัติเป็น นักธุรกิจ นับเป็นการทำลายความมีหิริโอตตัปปะที่เป็นคุณสมบัติและคูณธรรมของครูบา อาจารย์โดยแท้


ถ้าจะมองให้กระชับลงไปกว่านี้ก็อาจกล่าวได้ว่า การดำรงอยู่ของค่านิยมในเรื่องการมีตัวตน มีหน้ามีตาและชนชั้น ก็คือสิ่งที่ขัดแย้งอย่างยิ่งกับอุดมการณ์ของความเป็นประชาธิปไตย เพราะเป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้ค่านิยมในเรื่องความเสมอภาคและความเป็นมนุษย์ที่ อยู่ร่วมกันอย่างเรียบง่าย เกิดขึ้นในสังคมนี้

                             http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269164032&catid=02

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

สาวผู้ดีใจโหด เผากระต่าย เพราะเมาเบียร์

สาวผู้ดีใจโหด เผากระต่าย เพราะเมาเบียร์

Pic_71560 ภาพจาก : www.dailymail.co.uk

เมาเบียร์แล้วพาล จุดไฟเผากรงดูกระต่ายทรมานแล้วมีความสุข เคราะห์ดีช่วยได้ทันแต่ขนไหม้แผลเหวอะ แถมต้องตัดหูทิ้ง 1 ข้าง สาวผู้ดีใจโหดรอขึ้นศาล อาจโดนจำคุกครึ่งปี ปรับอีกเกือบล้าน...




สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ว่า เหตุสลดเกิดขึ้นที่เมืองไวเทนชอว์ ในเกรทเธอร์ แมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร เมื่อเดือนกันยายนปีกลาย โดยเคธีย์ บาร์เบอร์ สาววัย 22 ปี เมาคลุ้มคลั่ง หลังจากดื่มเบียร์สดไป 7 กระป๋อง ก่อเหตุเผาเสื้อผ้าทั้งหมดของแม่วอด แต่เกิดฉุกคิดถึงกระต่ายสุดรักของครอบครัว จึงพุ่งตรงไปยังกรง จัดการนำเศษกระดาษติดไฟโยนเข้าไปเพื่อบรรดาลโทสะ และปิดกรงขังกระต่ายน่าสงสาร

เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่ แม่ และราเชล (น้องสาวของเคธีย์) เจ้าของกระต่าย รวมถึงแฟนหนุ่มของเคธีย์ ไปเที่ยวพักร้อน ทั้งนี้ข่าวรายงานว่า เมื่อเคธีย์จัดการคลอกสดกระต่าย เธอยืนมองกระต่ายกระโดดหนีไฟไปมา และหัวเราะอย่างบ้างคลั่ง ซึ่งในที่สุดกระต่ายได้รับความช่วยเหลือโดยการสาดน้ำใส่กรงให้ไฟมอด ก่อนนำตัวออกมา เคราะห์ดีที่กระต่ายน้อยไม่เสียชีวิต แต่ตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยไหม้

http://www.thairath.co.th/content/oversea/71560
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปีเสือดี มีอนาคตที่สดใส......

สวัสดีปีเสือดีครับ

 

 

ยิ้มรับกับชีวิตใหม่ที่สดใส และโอกาสใหม่ๆของชีวิต

 

ลองให้โอกาสตัวเองได้ศึกษาข้อมูลใหม่ๆดูบ้างครับ

 

www.my-freedomlife.com

 

 

อย่าเพิ่งปฏิเสธสิ่งที่คุณยังไม่รู้ เพราะคุณอาจปฏิเสธสิ่งที่คุณค้นหามาทั้งชีวิต

 

ถ้าเมล์นี้เป็นการรบกวนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

 

 

ไขปม!คำวินิจฉัยส่วนตน ทำไม "2 ผู้พิพากษา" ศาลฎีกาฯฟันธงต้องยึดทรัพย์ "ทักษิณ"เรียบวุธ 76,000 ล้าน


นายไพโรจน์ วายุภาพ


นายกำพล ภู่สุดแสวง

วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:06:22 น.  มติชนออนไลน์

ไขปม!คำวินิจฉัยส่วนตน ทำไม "2 ผู้พิพากษา" ศาลฎีกาฯฟันธงต้องยึดทรัพย์ "ทักษิณ"เรียบวุธ 76,000 ล้าน

หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"- เป็นบางส่วนของคำวินิจฉัยส่วนตนของนายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกาและ นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา 2 ผู้พิพากษาในองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 46,000 ล้านบาท โดยผู้พิพากษาทั้ง 2 รายดังกล่าวมีความเห็นว่า ควรยึดทรัพย์ ทั้งหมด 76,000  ล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ณ ป้อมเพชร อดีต ภรรยา ด้วยเหตุผล 2 ประการ


ประการแรก  ไม่จำต้องแยกทรัพย์สินที่พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 มีอยู่ก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออกไปแต่อย่างใด เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณดำเนินการที่ต้องห้ามโดยแจ้งชัด และเมื่อได้รับการไต่สวนโดยกระบวนการทางศาลโดยชอบแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ ตามข้อกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับได้รับทรัพย์สินที่เป็นฐานที่ใช้ในการกระทำผิดกลับคืนไป ย่อมจะไม่อาจบรรลุเจตนารมณ์ของการให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเนื่องจากการ ร่ำรวยผิดปกติได้เลย


 ประการสอง  พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1(คุณหญิงพจมาน) ใช้หุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปฯ ตลอดมา มิใช่เพียงแต่ถือหุ้นโดยฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายเท่านั้น แต่ได้ใช้หุ้นที่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ถือครองอยู่เป็นปัจจัยสำคัญในการแสวงหาผลประโยชน์ หาก คืนส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 อ้างว่า  มีอยู่ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ยอมขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ส่งผลให้ผู้ที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติแห่งกฎหมายเช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย


ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดของเหตุผลในคำวินิจฉัยส่วนตนของผู้พิพากษาทั้ง2 คน

------------------------------------------


นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา


การกระทำอันไม่สมเหตุสมผลและมิชอบด้วยกฎหมายเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ ตนเองในระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาตลอดดังที่ได้วินิจฉัยไปข้างต้น และในระหว่างที่พ.ต.ทงทักษิณ เป็นหัวหน้ารัฐบาลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เสนอกฎหมายแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544  จนผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และออกเป็น พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549 ซึ่งได้แก้ไข (1)  ของมาตรา 8 วรรคสามแห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม  เป็นผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมต้องมิใช่เป็นคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการ ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และไม่มีบทบัญญัติให้ต้องมีกรรมการไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และผู้มีอำนาจกระทำการผูกพันนิติบุคคลนั้นต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย


พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549 ที่ได้แก้ไขได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2549 มีผลใช้บังคับในวันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2549 ต่อมาวันที่ 23 มกราคม 2549  พ.ต.ท. ทักษิณได้รวบรวมหุ้นจำนวน 1,419,490,150 หุ้น ขายให้แก่กลุ่มเทมาเส็กแห่งประเทศสิงคโปร์ได้จำนวนเงินสุทธิหลังจากหักค่า ใช้จ่ายแล้วรวม 67,722,880,932.05 บาท และตั้งแต่ปี 2546 ถึงปี 2548 บริษัทชินคอร์ปจ่ายเงินปันผลตามหุ้นจำนวนดังกล่าวเป็นเงิน 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินที่ได้รับเนื่องจากหุ้นดังกล่าวทั้งหมด 76,621,603,061.05 บาท


ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาซึ่งมีภาระการพิสูจน์ว่า ทรัพย์หรือเงินที่ได้มาดังกล่าวนั้นมิได้เป็นทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติหรือ เกิดขึ้นจากการร่ำรวยผิดปกติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 81 วรรคสอง พ.ร.บ.บัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 35 วรรคหนึ่ง นั้นก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ให้รับฟังได้ว่าเงินที่ได้รับเนื่องจากหุ้นทั้ง หมดดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นจากความร่ำรวยผิดปกติ


ดังนั้นเงินดังกล่าวพร้อมดอกผลทั้งหมดจึงถือ ได้ว่า เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติการตามหน้าที่หรือ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ และเป็นการได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวม โดยเป็นทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร่ำรวยผิดปกติโดยไม่สมควรสืบเนื่องจาก การปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งจะต้องตกเป็นของแผ่นดินเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณร่ำรวยผิดปกติ โดยเงินที่ได้จากการขาย หุ้นบริษัทชินคอร์ปและเงินปันผลที่ได้รับเนื่องจากการถือหุ้นบริษัทชินคอร์ ปซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้ อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณ และจะต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินเสียทั้งสิ้น


ทั้งนี้ตามประกาศคณะปฏิรูการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ประกอบพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 80 และมาตรา 81

 

ส่วนในปัญหาที่ว่า ทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณที่มีอยู่ก่อนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีจำนวน เท่าใด และจะต้องนำมาหักออกจากทรัพย์สินที่จะต้องตกเป็นของแผ่นดินก่อนหรือไม่นั้น


 เห็นว่า มูลเหตุและทรัพย์สินที่คณะกรรมการตรวจสอบได้ชี้มูลความผิดและที่ผู้ร้อง (อัยการสูงสุด)ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามคำร้องตกเป็นของแผ่นดินนั้นเกี่ยวกับเรื่อง ที่ในระหว่างที่พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติกรรมที่มีทรัพย์เพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร่ำรวยผิดปกติโดยพ.ต.ท.ทักษิณ และผู้คัดค้านที่ 1 (คุณหญิงพจมาน)คู่สมรสยังคงร่วมกันถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่มีการถือครองมา ก่อนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้มีการร่วมกัน ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ เพื่อทำให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้ถือครองหุ้นบริษัทชินคอร์ปและมิได้เกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าวอีก แล้วมาตั้งแต่ก่อนที่ผู้ถูกกล่าวหาจะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีออกมาตรการในรูปแบบต่างๆ กันไปเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์แก่กิจการในเครือบริษัทชินคอร์ปที่พ .ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 คู่สมรสยังคงถือครองหุ้นอยู่ดังกล่าวต่อเนื่องมาจนกระทั่งได้มีการรวบรวม หุ้นบริษัทดังกล่าวขายออกไปทั้งหมด ซึ่งเป็นผลให้พ.ต.ท.ทักษิณได้รับเงินค่าขายหุ้นและผลประโยชน์จากการถือครอง หุ้นคือเงินปันผล ผู้ร้องจึงได้ร้องขอให้เงินดังกล่าวพร้อมดอกผลทั้งหมดอันได้รับมาสืบเนื่อง จากการถือครองหุ้นดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ และผู้คัดค้านที่ 1 เป็นฝ่ายที่มีภาระการพิสูจน์ว่า เงินที่ได้มาดังกล่าวมิได้เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติหรือเกิดจากการ ร่ำรวยผิดปกติ


แต่พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 กลับคัดค้านปฏิเสธว่า มิใช่หุ้นหรือเงินหรือทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ได้มีอยู่เท่าใดในช่วงเวลาก่อนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือในช่วงเวลา หนึ่งเวลาใดหลังจากนั้น และถือได้ว่า เงินที่ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปและประโยชน์จากการที่ยังคงถือครองหุ้นดังกล่าว ไว้คือเงินปันผลพร้อมดอกผลทั้งหมดเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการที่มี ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือการร่ำรวยผิดปกติซึ่งจะต้องตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 80


ทั้งทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้ร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดินในคดีนี้เป็น หุ้นซึ่งมูลค่าของหุ้นมีความไม่แน่นอน การขึ้นลงของราคาหุ้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง และหุ้น บริษัทชินคอร์ปที่ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ยังคงร่วมกันฝ่าฝืนถือหุ้นนั้นไว้นี้ย่อมถือได้ว่า เป็นฐานให้ผู้ถูกกล่าวหาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่ง หน้าที่ดำเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้หุ้นดังกล่าว


 เพราะหากไม่มีหุ้นดังกล่าวอยู่ในขณะที่พ .ต.ท.ทักษิณ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ย่อมที่จะมีการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจใน ตำแหน่งหน้าที่ในกรณีทั้งห้าตามข้อกล่าวหาเพื่อเอื้อประโยชน์ไม่ได้


หรือในทางกลับกันหากพ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ได้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปอยู่ แต่พ.ต.ท.ทักษิณมิได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่อาจที่จะเกิดการ ปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนก่อให้เกิดความเสียหาย แก่รัฐ และเป็นเหตุให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้


ส่วนทรัพย์สินที่ได้มาสืบเนื่องมาแต่การปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจ ในหน้าที่นั้นหากไม่มีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปออกไป ทรัพย์สินที่จะต้องตกเป็นของแผ่นดินก็คือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปที่พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ได้ร่วมกันฝ่าฝืนถือไว้และเป็นทรัพย์สินที่พ.ต.ท.ทักษิณได้มาสืบเนื่องมาจาก การปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นั่นเองที่จะต้องตกเป็นของ แผ่นดิน


แต่เมื่อได้มีการขายหุ้นดังกล่าวออก ไปทั้งหมดเสียแล้วทรัพย์สินที่จะต้องตกเป็นของแผ่นดินก็คือเงินที่ได้จากการ ขายหุ้นและเงินปันผลที่ได้รับจากหุ้นดังกล่าวพร้อมดอกผล


ดังนั้นจึงไม่จำต้องแยกทรัพย์สินที่พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 มีอยู่ก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออกไปแต่อย่างใด เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ดำเนินการที่ต้องห้ามโดยแจ้งชัด และเมื่อได้รับการไต่สวนโดยกระบวนการทางศาลโดยชอบแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ ตามข้อกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติ

 

แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับได้รับทรัพย์สินที่เป็นฐานที่ใช้ในการกระทำผิดกลับคืนไป ย่อมจะไม่อาจบรรลุเจตนารมณ์ของการให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเนื่องจากการ ร่ำรวยผิดปกติได้เลย


ทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ และผู้คัดค้านที่ 1 ต้องห้ามมิให้ถือหุ้นในบริษัทชินคอร์ปซึ่งหมายถึงหุ้นที่ถืออยู่ทั้งจำนวนมิ ได้แยกส่วนที่มีอยู่เดิมออกเป็นต่างหาก การได้รับคืนบางส่วนจึงขัดแยังกัน ข้อต่อสู้ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
---------------------------------

 

นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา


ย่อมเห็นได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับประโยชน์จากมาตรการทั้งห้ามาตราการอย่างมากมาย พฤติการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1(คุณหญิงพจมาน) ใช้หุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปฯ ตลอดมา มิใช่เพียงแต่ถือหุ้นโดยฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายเท่านั้น แต่ได้ใช้หุ้นที่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ถือครองอยู่เป็นปัจจัยสำคัญในการแสวงหาผลประโยชน์


หากไม่สั่งให้เงินค่าหุ้นกับเงินปันผลจำนวน 76,621,603,061.05 บาทตกเป็นของแผ่นดินทั้งจำนวน โดยคืนส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 อ้างว่า มีอยู่ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ยอมขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ผู้ที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติแห่งกฎหมายเช่นเดียวกับพ .ต.ท.ทักษิณไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย


เพราะหากหน่วยงานของรัฐสามารถสืบเสาะค้นหาจน พบว่า บุคคลผู้นั้นกระทำการอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง ก็ขอให้ศาลริบได้แต่ผลกำไรเท่านั้น ส่วนต้นทุนต้องคืนให้แก่ผู้นั้นได้ อันมีลักษณะเป็นการแบ่งทรัพย์สินให้แก่กันโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 

 

มาตรการในการป้องกันการกระทำอันเป็นการเอื้อ ประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้องจนก่อให้เกิดผลเสียหายแก่รัฐจะไม่สัมฤทธิ์ผล ได้เลย ทั้งยังเป็นช่องให้มีการกระทำในลักษณะเช่นนี้อย่างแพร่หลาย


เมื่อคำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 110,208,209,308 ถึง 311 และมาตรา 329 (2) อันเป็นที่มาของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 แล้ว จึงมีความเห็นว่า เงินจำนวน 76,621,603,061.05 บาท ต้องตกเป็นของแผ่นดินทั้งจำนวน


ที่ผู้คัดค้านที่ 1 ต่อสู้ว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ได้มาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรส หากศาลมีคำสั่งให้เงินจำนวนนั้นตกเป็นของแผ่นดิน ที่ต้องกันทรัพย์สินส่วนที่เป็นของผู้คัดค้านที่ 1 คืนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ก่อน


เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นภริยาของพ.ต.ท.ทักษิณและมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับพ.ต.ท.ทักษิณในเงินจำนวน 76,621,603,061.05 บาท ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีส่วนร่วมในการดำเนินการของพ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นลำดับ นับแต่การออกเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัทชินคอร์ปฯ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2542 ในนามของผู้คัดค้านที่ 1 เอง พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 5 (นายบรรณพจน์ ดมาพงศ์)รวมทั้งออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน สั่งจ่ายเงินจำนวน 330,961,220 บาท ให้บริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด  นำไปชำระค่าหุ้นที่ซื้อจากพ.ต.ท.ทักษิณ และการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2(นายพานทองแท้) และที่ 5 (นายบรรณพจน์) จำนวน 42,475,000 หุ้นละ 26,825,000 หุ้นตามลำดับ ซึ่งได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าไม่ใช่การซื้อขายกันอย่างจริงจัง


ถือได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ร่วมกับพ.ต.ท.ทักษิณกระทำการอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปฯ ตามคำรองของผู้ร้อง ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่อาจขอให้คืนทรัพย์สินส่วนของตนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้


สำหรับคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 6 ที่ 9 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 ที่ 20 นั้น (กรรมการและบริษัทครอบครัวชินวัตร)เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า  เงินที่ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 6 ที่ 9 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 ที่ 20 อ้างว่า เป็นของตนล้วนแต่เป็นเงินที่ได้มาจากการที่พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ขายหุ้นให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ทั้งสิ้น


สำหรับคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 ถึงผู้คัดค้านที่ 5 นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น จึงไม่จำต้องกล่าวซ้ำ ส่วนผู้คัดค้านที่ 6(นางบุษบา ดามาพงศ์) ที่อ้างว่าเงินจำนวน 40,000,000 บาทที่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) อายัดและขอให้ตกเป็นของแผ่นดิน เป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 5(นายบรรณจน์) ยกให้แก่ผู้คัดค้านที่ 6 โดยเสน่หาและได้มาจากการขายหุ้นส่วนของตนจำนวน 159,000 หุ้น รวมเป็นเงิน 7,839,273.70 บาท


เห็นว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้วินิจฉัยแล้วว่าหุ้นของ บริษัทชินคอร์ปฯ ที่ผู้คัดค้านที่ 5 ถืออยู่เป็นของพ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบกับทางไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านที่ 6 ได้เงินจำนวนนี้มาอย่างไร จึงต้องรับฟังว่า เงินจำนวน 40,000,000 บาทที่ผู้คัดค้านที่ 5 โอนให้ผู้คัดค้านที่ 6 เป็นการโอนให้โดยเสน่หา จึงถือได้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ และผู้คัดค้านที่ 6 ได้รับมาโดยไม่มีค่าตอบแทน ข้ออ้างของผู้คัดค้านที่ 6 ฟังไม่ขึ้น


ส่วนผู้คัดค้านที่ 9 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 ที่ 20 และที่ 21 นั้น เห็นว่าผู้คัดค้านดังกล่าวต่างเป็นนิติบุคคล โดยมีผู้คัดค้านที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 นางกาญจนาภา หงส์เหิน นายสมบูรณ์ คุปติมนัส นายชานนท์ สุวสิน นางดวงฤทัย กสิโสภา นางสาวลัดดาวัลย์ ศรชัย และนางสาวเพ็ญนภัสสร์ นภาทิวอำนวย เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนผู้คัดค้านที่ 9 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 ที่ 20 และที่ 21 ทั้งบุคคลดังกล่าวล้วนเป็นเครือญาติและบริวารของพ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ทั้งสิ้น


ประกอบกับที่ทำการของนิติบุคคลดังกล่าวส่วน ใหญ่เปิดทำการอยู่บนอาคารเลขที่เดียวกัน เหตุที่ได้รับเงินมาเนื่องจากการออกหุ้นเพิ่มทุนภายหลังจากการที่พ .ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ให้แก่กลุ่มเทมาเส็กแล้วทั้งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทผู้คัดค้าน เหล่านั้นก็คือ ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 กับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่นถือหุ้นเพียง 1 ถึง 2 หุ้นเท่านั้น จึงรับฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 6 ที่ 9 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 20 ถึงที่ 21 เป็นผู้รับโอนทรัพย์สินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน


จึงวินิจฉัยให้เงินที่ได้มาจากเงินปันผลและการขายหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปฯ จำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผลเฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝากนับแต่วันฝากเงินจนถึงวัน ที่ธนาคารส่งเงินจำนวนดังกล่าวมายังศาลตกเป็นของแผ่นดิน

 

 




อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
พลิกคำวินิจฉัย"หนึ่งเดียว"ในองค์คณะคดียึดทรัพย์"ม.ล.ฤทธิเทพ" ตอบโจทย์ทำไม "ทักษิณ"มิได้ร่ำรวยผิดปกติ
เปิดคำวินิจฉัยส่วนตน 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกาฯคดียึดทรัพย์ "ทักษิณ" 4.6หมื่นล้าน
วิเคราะห์คำพิพากษายึดทรัพย์ ออก พ.ร.ก.แปลงค่าสัมปทานเอื้อชินคอร์ป ขัดแย้งคำวินิจฉัยศาล รธน.?
วิเคราะห์คำพิพากษายึดทรัพย์ ตอบโจทย์ ทำไม ศาลฎีกาฯฟันธง"ทักษิณ" ซุกหุ้นชินคอร์ป
วิเคราะห์คดีทักษิณ: ต่างความคิด (แต่หวังว่า) ไม่ต้องผิดใจกัน
ไขปมคดีภาษี"โอ๊ค-เอม"1.2 หมื่นล้านหลังศาลฎีกาฟันธง "แม้ว" ซุกหุ้น ยึดทรัพย์4.6 หมื่นล้าน
เปิดชื่อ2ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยสั่งยึดเรียบ7.6หมื่นล. เผย"ม.ล.ฤทธิเทพ"หนึ่งเสียงชี้"แม้ว"ไม่ทุจริต
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1268909297&grpid=00&catid=no
--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

รมว. คลังยันไม่ฟ้องเรียกค่าเสียบริษัทมือถือ จากการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ไม่ถูกต้อง

คลังยันไม่ฟ้องเรียกค่าเสียบริษัทมือถือ

18 มีนาคม 2553 เวลา 14:49 น.

รมว. คลังยันไม่ฟ้องเรียกค่าเสียบริษัทมือถือ จากการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ไม่ถูกต้อง

 
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐไม่ควรฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานไม่ถูกต้องกับบริษัท เอกชนที่เป็นคู่สัญญา เพราะผู้ถือหุ้นของบริษัทเอกชนไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่รัฐ แต่ควรดำเนินการฟ้องเรียกเรียกค่าเสียหายกับหน่วยงานที่ทำให้เหตุการณ์ที่ ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กำลังรวบรวมข้อมูลว่ามีหน่วยงานไหนต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นบ้าง
 
นาย กรณ์ กล่าวว่า ถึงแม้ผู้ถือหุ้นเอกชนจะไม่ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการ แก้ไขสัญญาสัมปทานที่ไม่ถูกต้องในอดีตที่ผ่านมา แต่การแก้ไขสัญญาให้กลับมาถูกต้องในอนาคต เช่น การแก้ไขส่วนแบ่งรายได้สัมปทานจาก 20% มาเป็น 30% เหมือนเดิม จะส่งผลให้บริษัทมีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะได้รับผลกระทบมีมูลค่าลดลง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยุติธรรม
 
"ต้อง แยกเรื่องการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในอดีต กับการแก้ไขสัญญาสัมปทานให้ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และให้โครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้" นายกรณ์ กล่าว
 
นายกรณ์ กล่าวว่า การดำเนินการแก้ไขสัญญาสัมปทานให้ถูกต้องเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีให้เวลาดำเนินการ 90 วัน และขยายเวลาให้อีก 60 วัน ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาอีก 50 วัน ที่ทางไอซีต้องสรุปรายละเอียดการแก้ไขสัญญาสัมปทานกลับมาให้ถูกต้องให้ ครม. รับทราบ
 
สำหรับการเปิดประมูลโครงการโทรศัพท์ 3 จี ต้องรอให้มีการแก้ไขสัญญาสัมปทานปัจจุบันให้ถูกต้องเสียก่อน นอกจากนี้ต้องกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาในวาระที่ 2 และ 3 ซึ่ง กสทช. จะเป็นผู้มีอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่โทรศัพท์ 3 จี
http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88/17288/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

จาก "ฮัจยีสุหลง" ถึง "ทนายสมชาย"

จาก “ฮัจยีสุหลง” ถึง “ทนายสมชาย”

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2497 ฮัจยีสุหลง บินอับดุลกาเดร์ และคณะรวม 4 ท่าน เดินทางไปยังจังหวัดสงขลาเพื่อเข้าพบผู้บังคับการหน่วยสันติบาล มีแต่คำบอกเล่าจากคนเฝ้ามัสยิดที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเท่านั้นที่ว่า เห็นบุคคลทั้งสี่ละหมาดที่มัสยิดตอนเที่ยงของวันของวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม โดยมีตำรวจพร้อมอาวุธครบมือควบคุมอยู่ จากนั้นฮัจยีสุหลงกับพวกก็หายสาบสูญไป
         
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาร่วม 56 ปีแล้ว โดยที่ไม่มีคำตอบใดๆ จากรัฐ ทว่าคำตอบในหัวใจของประชาชนในพื้นที่ก็คือ เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ!
         
เวลา 20.30 น.ของวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2547 สมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม เดินทางออกจากโรงแรมชาลีนา ในซอยมหาดไทย ย่านลาดพร้าว-รามคำแหง มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 5-6 คนขับรถยนต์สะกดรอยตามเขาในระยะกระชั้นชิด ครั้นถึงบริเวณหน้าร้านแม่ลาปลาเผา เยื้องกับสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก รถที่ขับตามหลังได้ขับชนท้ายรถของทนายสมชาย เมื่อเขาหยุดรถเพื่อลงไปพูดคุย ก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ล็อคตัว และผลักเข้าไปในรถยนต์ของกลุ่มชายฉกรรจ์ จากนั้นก็พาตัวทนายสมชายหายไป
         
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางเมืองหลวงอันเป็นศูนย์กลางอำนาจของรัฐไทย แถมยังเกิดตรงข้ามกับสถานีตำรวจ และจากวันนั้นถึงวันนี้ ก็นับเวลาได้ 6 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีคำตอบจากรัฐเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใด
         
การถูกบังคับให้สูญหาย (disappeared) ของบุคคลทั้งสอง ชัดเจนว่าเป็นบุคคลที่ถือเป็นปฏิปักษ์ต่อการดำเนินนโยบายรักษาความสงบใน พื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทย เริ่มตั้งแต่การลุกขึ้นมาใช้ “พื้นที่ทางการเมือง” ของฮัจยีสุหลง ซึ่งเป็นวิธีการอันก้าวหน้ามากที่สุดของการเมืองภาคประชาชนในยุคนั้น กล่าวคือเขาได้นำข้อเสนอต่างๆ ที่ได้มาจากมติการประชุมของกลุ่มตัวแทนประชาชนในปัตตานี นำเสนอเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาต่อรัฐบาลกลางรวม 7 ข้อ (เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการเรียกร้องขอสิทธิปกครองตนเองบางระดับแก่คนมุสลิมใน จังหวัดชายแดนภาคใต้) แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาและพวกได้รับก็คือ...ถูกกำจัด!
         
ข้อเสนอของฮัจยีสุหลง ซึ่งหลายคนเชื่อว่าน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้อย่าง ยั่งยืน จึงเป็นได้แค่เพียงประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และแม้วันนี้จะมีเสียงเรียกร้องจากท้องถิ่นว่าด้วยเรื่อง "เขตปกครองพิเศษ" หรือการจัดการปกครองท้องถิ่นรูปแบบใหม่เช่นกัน แต่รัฐบาลยุคปัจจุบันก็ไม่คิดใส่ใจหยิบยกให้เป็นประเด็นสาธารณะเพื่อให้เกิด ข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง เพื่อนำไปสู่แนวทางที่เหมาะสมและสมบูรณ์
         
ขณะที่ ทนายสมชาย นีละไพจิตร นักกฎหมายมุสลิมชาวหนองจอก ได้พาตัวเองเข้าไปสู่การเป็นทนายให้กับกลุ่มผู้ต้องหาคดีความมั่นคงจาก จังหวัดชายแดนภาคใต้ และล่ารายชื่อเพื่อเพิกถอนกฎอัยการศึก ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนใน พื้นที่ โดยอาศัยช่องทางตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ด้วยการล่ารายชื่อประชาชนจำนวน 50,000 ชื่อเพื่อยื่นเสนอต่อรัฐสภา
         
ถือว่าเป็นการท้าทายอำนาจรัฐอย่างตรงไปตรงมา อัดแน่นด้วยความเชื่อมั่นในกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม!
         
กล่าวโดยสรุป การเคลื่อนไหวของ ฮัจยีสุหลง และทนายสมชาย แม้จะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดอยู่บ้าง แต่ทั้งสองก็มีความเหมือนกันในเรื่องของสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ของผู้คนในท้องถิ่น ซึ่งรัฐไทยไม่เคยยอมรับหรือเข้าใจ
         
สิ่งที่น่าสลดและน่าสงสารก็คือ เจ้าหน้าที่รัฐบางคนบางกลุ่มกลับเลือกใช้วิธีการที่ไร้อารยะกับบุคคลทั้งสอง สะท้อนให้เห็นว่าถึงแม้รัฐจะมีเครื่องมือทุกอย่างพร้อม แต่ก็ขาดความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับคนธรรมดาที่ไม่มีทั้งอำนาจและปืน
         
การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐนาวาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขาเคยประกาศในช่วงที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ ว่า จะเร่งรัดและเอาจริงเอาจังกับคดีทนายสมชาย แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้าที่เห็นเป็นรูปธรรม (อาจมีการพูดถึงความเอาจริงเอาจังอีกครั้งในวันที่ 12 มีนาฯ ในวาระครบ 6 ปีที่ทนายสมชายถูกบังคับให้สูญหาย)
         
การยอมรับความจริงอันเจ็บปวด หรือการเผชิญหน้ากับความความจริงอย่างกล้าหาญ ดูเหมือนจะยังไม่เคยเกิดขึ้นจากกลไกรัฐในสังคมไทย...
         
ท้ายที่สุดไม่ว่าระหว่างบรรทัดของการเมืองไทยจะจัดวางบุคคลทั้งสองไว้ในฐานะ อะไร “กบฏ” หรือ “วีรบุรุษ” “ทนายโจร” หรือ “นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน” แต่ สำหรับผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ทั้งฮัจยีสุหลงและทนายสมชายจะเป็นตำนานเล่าขานของผู้คนในท้องถิ่นในฐานะ เหยื่อของอำนาจรัฐสืบไป
 
 

* บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกใน www.isranews.org

อ่านประกอบ :
- 6 ปีทนายสมชาย (1) กับบทเรียนคดีอุ้มหายที่กัวเตมาลา
http://www.isranews.org/isranews/index.php?option=com_content&view=article&id=228:6-1-&catid=10:2009-11-15-11-15-01&Itemid=3
- 6 ปีทนายสมชาย (2) บันทึกการต่อสู้ของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
http://www.isranews.org/isranews/index.php?option=com_content&view=article&id=232:6--2--&catid=12:2009-11-15-11-15-38&Itemid=14
  http://www.prachatai.com/journal/2010/03/28145



--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

เปิดคำวินิจฉัยส่วนตนผู้พิพากษาศาลฎีกาฯคดียึดทรัพย์"ทักษิณ" 4.6 หมื่นล้านบาท



วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 16:10:02 น.  มติชนออนไลน์

เปิดคำวินิจฉัยส่วนตนผู้พิพากษาศาลฎีกาฯคดียึดทรัพย์"ทักษิณ" 4.6 หมื่นล้านบาท

หมายเหตุ"มติชนออนไลน์" -เป็นคำวินิจฉัยส่วนตนบางส่วนของผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองในคดี พ.ต.ทงทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีร่ำรวยผิดปกติและมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ให้ทรัพย์สิน 46,373,687,454.70 บาทตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  จึงนำมาเผยแพร่เพื่อให้สาธารณชนและวงวิชาการด้านกฎหมายได้ศึกษาเพื่อประโยชน์แก่วงการนิติศาสตร์ต่อไป


ปรากฏว่า ในองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน มีเสียงเอกฉันท์ว่า  พ.ต.ท.ทักษิณคงไว้ซึ่งหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ"ซุกหุ้น"ชินคอร์ปจำนวน 1,419 ล้านหุ้น


 ขณะที่ ประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ทำให้รัฐเสียหาย  เสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีการกระทำดังกล่าว โดยเสียงข้างน้อย 1 เสียงคือ  ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา


ส่วนประเด็นการให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินนั้น องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์


อย่างรก็ตามเมื่อพิจารณาประเด็นว่า ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจำนวนเท่าใด องค์คณะฯเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เห็นว่า ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินบางส่วน(46,000 ล้านบาท) ขณะที่เสียงข้างน้อย 2 เสียงคือ นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา และนายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เห็นว่า ควรให้ทรัพย์สินตามคำร้องทั้งหมด 76,000 ล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดิน


คำวินิจฉัยส่วนตนของ นายกำพล ภู่สุดแสวง( 1)

คำวินิจฉัยส่วนตนของ นายกำพล ภู่สุดแสวง (2)
-------------------

คำวินิจฉัยส่วนตนของ นายประทีป เฉลิมภัทรกุล( 1)

คำวินิจฉัยส่วนตนของ นายประทีป เฉลิมภัทรกุล( 2)

คำวินิจฉัยส่วนตนของ นายประทีป เฉลิมภัทรกุล( 3)
------------------------

คำวินิจฉัยส่วนตนของนายพิทักษ์ คงจันทร์( 1)

คำวินิจฉัยส่วนตนของนายพิทักษ์ คงจันทร์( 2)

คำวินิจฉัยส่วนตนของนายพิทักษ์ คงจันทร์( 3)
--------------
คำวินิจฉัยส่วนตนของนายอดิศักดิ์ ทิมมาศย์(1)

คำวินิจฉัยส่วนตนของนายอดิศักดิ์ ทิมมาศย์(2)

คำวินิจฉัยส่วนตนของนายอดิศักดิ์ ทิมมาศย์(3)

                              http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1268817712&grpid=01&catid=no
--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/